กระทู้เมื่อเร็วๆ นี้
กระดานสนทนาธรรม

ที่พักสงฆ์ป่าสามแยก บ้านห้วยยางทอง ต.วังกวาง อ.น้ำหนาว จ.เพชรบูรณ์ 67260


กระทู้เมื่อเร็วๆ นี้

หน้า: 1 ... 5 6 [7] 8 9 10
61

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 492

๑๒. วงศ์พระสุชาตพุทธเจ้าที่ ๑๒
ว่าด้วยพระประวัติของพระสุชาตพุทธเจ้า

[๑๓] ในมัณฑกัปนั้นนั่นเองมีพระพุทธเจ้าพระนามว่า สุชาตะ ผู้นำโลก
ผู้มีพระหนุดังคางราชสีห์ มีพระศอดังโคอุสภะ มีพระคุณหาประมาณมิได้ อันบุคคลเข้าเฝ้าได้ยาก.
พระสัมพุทธเจ้า ทรงรุ่งเรืองด้วยสิริย่อมงามสง่าทุกเมื่อ เหมือนดวงจันทร์หมดจดไร้มลทิน
เหมือนดวงอาทิตย์ส่องแสงแรงร้อน ฉะนั้น.
พระสัมพุทธเจ้าทรงบรรลุพระโพธิญาณอันสูงสุด
สิ้นเชิงแล้ว ทรงประกาศพระธรรมจักร ณ กรุงสุมงคล.
เมื่อพระสุชาตพุทธเจ้า ผู้นำโลก ทรงแสดงธรรม
อันประเสริฐ สัตว์แปดสิบโกฏิ ก็ตรัสรู้ในการแสดงธรรม ครั้งที่ ๑.
ครั้งพระสุชาตพุทธเจ้า ผู้มีบริวารยศหาประมาณมิได้ เสด็จเข้าจำพรรษา ณ เทวโลก.
อภิสมัยครั้งที่ ๒ ได้มีแก่ สัตว์สามล้านเจ็ดแสน.
ครั้งพระสุชาตพุทธเจ้า ผู้ไม่มีผู้เสมอ เสด็จเข้าเฝ้าพระชนก
อภิสมัยครั้งที่ ๓ ได้มีแก่สัตว์หกล้าน.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 493

พระสุชาตพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่
ทรงมีสันนิบาตประชุมพระสาวกขีณาสพไร้มลทิน มีจิตสงบผู้คงที่ ๓ ครั้ง.
พระอรหันต์สาวกผู้ถึงกำลังแห่งอภิญญา ผู้ไม่ถึงพร้อมในภพน้อยภพใหญ่หกล้าน
พระสาวกเหล่านั้นประชุมกัน ครั้งที่ ๑.
ในสันนิบาต ต่อมาอีก เมื่อพระชินพุทธเจ้าเสด็จ
ลงจากเทวโลกชั้นไตรทศ พระสาวกสี่แสนประชุมกัน ครั้งที่ ๒.
พระสุทัสสนะอัครสาวก เมื่อเข้าเฝ้าพระนราสภ
ก็เข้าเผ้าพระสัมพุทธเจ้าพร้อมด้วย พระสาวกสี่แสน.
สมัยนั้น เราเป็นจักรพรรดิ์เป็นใหญ่แห่งทวีปทั้ง ๔ มีกำลังมาก ท่องเที่ยวไปในอากาศได้.
เรามอบถวายสมบัติใหญ่ในทวีปทั้ง ๔ และรัตนะ ๗ แด่พระพุทธเจ้าผู้สูงสุด
แล้วก็บวชในสำนักของพระองค์.
พวกคนวัดรวบรวมผลรายได้ในชนบท น้อมถวายเป็นปัจจัย ที่นอนและที่นั่งแด่พระภิกษุสงฆ์.

ครั้งนั้น พระพุทธเจ้าผู้เป็นใหญ่แห่งหมื่นโลกธาตุ
ก็ได้ทรงพยากรณ์เราว่า จักเป็นพระพุทธเจ้าในที่สุดสามหมื่นกัป.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 494
พระตถาคตออกอภิเนษกรมณ์ จากกรุงกบิลพัสดุ์
อันน่ารื่นรมย์ ทรงตั้งความเพียรทำทุกกรกิริยา.
พระตถาคตประทับนั่ง โคนต้นอชปาลนิโครธ
รับข้าวมธุปายาส ณ ที่นั้น เสด็จเข้าไปยังแม่น้ำเนรัญชรา.
พระชินเจ้าพระองค์นั้น เสวยข้าวมธุปายาส ณ
ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา เสด็จดำเนินตามทางอันดีที่เขาจัดแต่งไว้ ไปที่โคนโพธิพฤกษ์.
แต่นั้น พระผู้มีพระยศใหญ่ ทรงทำประทักษิณ
โพธิมัณฑสถาน อันยอดเยี่ยม ตรัสรู้ที่โคนโพธิพฤกษ์ชื่อต้นอัสสัตถะ.

ท่านผู้นี้ จักมี
พระชนนีพระนามว่า พระนางมายา
พระชนกพระนามว่าพระเจ้าสุทโธทนะ
ท่านผู้นี้จักชื่อว่า โคตมะ.
จักมีอัครสาวก ชื่อว่าพระโกลิตะและพระอุปติสสะ ผู้ไม่มีอาสวะ ปราศจากราคะ มีจิตสงบ ตั้งมั่น
พระพุทธอุปฐากชื่อว่า อานันทะ จักบำรุง พระชินเจ้าพระองค์นี้.
จักมีอัครสาวิกาชื่อว่า พระเขมา และพระอุบลวรรณา ผู้ไม่มีอาสวะ ปราศจากราคะ มีจิตสงบ ตั้งมั่น
โพธิพฤกษ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ชื่อว่า ต้นอัสสัตถะ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 495
อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า จิตตะ และหัตถกะอาฬวกะ
อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า นันทมาตา และ อุตตรา
พระโคดมพุทธเจ้า ผู้มีพระยศ มีพระชนมายุ ๑๐๐ ปี.
มนุษย์และเทวดา ฟังพระดำรัสนี้ของพระสุชาตพุทธเจ้า ผู้ไม่มีผู้เสมอ ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่
ก็ปลาบปลื้มใจว่า ท่านผู้นี้เป็นหน่อพุทธางกูร.
หมื่นโลกธาตุ ทั้งเทวโลก ก็พากันโห่ร้อง ปรบมือ หัวร่อร่าเริง

ประคองอัญชลีนมัสการ กล่าวว่า
ผิว่า พวกเราจักพลาดคำสั่งสอนของพระโลกนาถพระองค์นี้
ในอนาคตกาล พวกเราก็จักอยู่ต่อหน้าของท่านผู้นี้.

มนุษย์ทั้งหลาย เมื่อจะข้ามแม่น้ำ พลาดท่าน้ำ
ข้างหน้า ก็ถือเอาท่าน้ำข้างหลัง ข้ามแม่น้ำใหญ่ฉันใด.
พวกเราทั้งหมด ผิว่า ผ่านพ้นพระชินพุทธเจ้า
พระองค์นี้ ในอนาคตกาล พวกเราก็จักอยู่ต่อหน้าของท่านผู้นี้.
เราฟังพระดำรัสของพระองค์แล้ว ก็ยิ่งร่าเริงใจ
จึงอธิษฐานข้อวัตรยิ่งยวดขึ้นไป เพื่อบำเพ็ญบารมี ๑๐ ให้บริบูรณ์.
เราเล่าเรียนพระสูตร พระวินัย และนวังคสัตถุศาสน์ทั้งหมด ยังพระศาสนาของพระชินเจ้าให้งาม.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 496
เราอยู่อย่างไม่ประมาทในพระศาสนานั้น
เจริญพรหมวิหารภาวนา ถึงฝั่งแห่งอภิญญา ก็ไปสู่พรหมโลก.

พระสุชาตพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่
มีพระนครชื่อว่า สุมงคล
พระชนกพระนามว่า พระเจ้าอุคคตะ
พระชนนีพระนามว่า พระนางประภาวดี.
ทรงครองฆราวาสวิสัยอยู่เก้าพันปี
ทรงมีปราสาทชั้นเยี่ยม ๓ หลัง ชื่อว่า สิริ อุปสิริ และจันทะ.
มีพระสนมนารีแต่งกายงาม สองหมื่นสามพันนาง
พระอัครมเหสีพระนามว่า พระนางสิรินันทา
พระโอรส พระนามว่า อุปเสนะ.
พระพุทธชินเจ้าทรงเห็นนิมิต ๔
เสด็จออกอภิเนษกรมณ์ด้วยยานคือ ม้า
ทรงตั้งความเพียร ๙ เดือนเต็ม.
พระมหาวีระ สุชาตพุทธเจ้า ผู้นำโลก ผู้สงบอันท้าวมหาพรหมอาราธนาแล้ว
ทรงประกาศพระธรรมจักร ณ สุมงคลราชอุทยานอันอุดม.

พระสุชาตพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่
มีพระอัครสาวก ชื่อ พระสุทัสสนะ และ พระสุเทวะ
พระพุทธอุปัฏฐากชื่อ นารทะ.
พระอัครสาวิกา ชื่อพระนาคา และ พระนาคสมาลา
โพธิพฤกษ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เรียกว่า มหาเวฬุ ต้นไผ่ใหญ่.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 497
ไผ่ต้นนั้น ลำต้นตัน ไม่มีรู มีใบมาก ลำตรงเป็นไผ่ต้นใหญ่ น่าดูน่ารื่นรมย์.
ไผ่ต้นนั้น เติบโตต้นเดียวโดด กิ่งแตกออกจากต้นนั้น งามเหมือนกำแววหางนกยูง ที่เขาผูกไว้ดีแล้ว.
ไผ่ต้นนั้น ไม่มีหนาม ไม่มีรู เป็นไผ่ใหญ่มีกิ่งแผ่กว้าง ไม่มีช่อง ร่มเงาทึบ น่ารื่นรมย์.
อัครอุปัฏฐาก ชื่อ สุทัตตะ และ จิตตะ
อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อ สุภัททา และ ปทุมา.
พระชินพุทธเจ้าพระองค์นั้น ว่าโดยส่วนสูง ๕๐ ศอก
ทรงประกอบด้วยความประเสริฐ โดยอาการพร้อมสรรพ ทรงถึงพระพุทธคุณ ครบถ้วน.
พระรัศมีของพระองค์ เสมอด้วยรัศมีของพระพุทธเจ้าผู้ไม่มีผู้เสมอ ย่อมแล่นออกโดยรอบ
พระวรกาย พระองค์มีพระคุณหาประมาณมิได้ ชั่งไม่ได้ เปรียบไม่ได้ด้วยข้ออุปมาทั้งหลาย.

ในยุคนั้น มนุษย์มีอายุเก้าหมื่นปี
พระองค์ทรงมีพระชนม์ยืนถึงเพียงนั้น จึงยังหมู่ชนเป็นอันมากให้ข้ามโอฆสงสาร.
ครั้งนั้น ปาพจน์คือธรรมวินัย งามด้วยพระอรหันต์ทั้งหลาย
เหมือนคลื่นในสาคร เหมือนดารากรในนภากาศ ฉะนั้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 498
พระศาสนานี้งดงาม ด้วยพระอรหันต์ทั้งหลายผู้มีวิชชา ๓ มีอภิญญา ๖ ผู้ถึงกำลังฤทธิ์ ผู้คงที่.
พระพุทธเจ้า ผู้เสมอด้วยพระพุทธเจ้าผู้ไม่มีผู้เสมอพระองค์นั้นด้วย พระคุณทั้งหลาย ที่ชั่งไม่ได้
เหล่านั้นด้วย ทั้งนั้นก็อันตรธานไปสิ้น สังขารทั้งปวงก็ว่างเปล่า แน่แท้.
พระสุชาตชินวรพุทธเจ้า ดับขันธปรินิพพาน
ณ พระวิหารเสลาราม พระเจดีย์ของพระศาสดา ณ พระวิหารนั้น สูง ๓ คาวุต.๑
จบวงศ์พระสุชาตพุทธเจ้าที่ ๑๒
๑. ๔ คาวุต เป็น ๑ โยชน์
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 499

พรรณนาวงศ์พระสุชาตพุทธเจ้าที่ ๑๒
ภายหลัง ต่อมาจากสมัยของพระสุเมธพุทธเจ้า ในมัณฑกัปนั้นนั่นแล
เมื่อสัตว์ทั้งหลายมีอายุที่นับไม่ได้มาโดยลำดับ และลดลงตามลำดับ จนมีอายุเก้าหมื่นปี
พระศาสดาพระนามว่า สุชาตะ ผู้มีพระรูปกายเกิดดี มีพระชาติบริสุทธิ์ ก็อุบัติในโลก
แม้พระองค์ก็ทรงบำเพ็ญบารมีแล้วบังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต
จุติจากนั้นแล้ว ทรงถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของ พระนางปภาวดี
อัครมเหสีในราชสกุลของ พระเจ้าอุคคตะ กรุงสุมงคล
ถ้วนกำหนดทศมาสก็ออกจากพระครรภ์ของพระชนนี.
ในวันเฉลิมพระนาม พระชนกชนนีเมื่อจะทรงเฉลิมพระนามของพระองค์
ก็ได้ทรงเฉลิมพระนามว่า สุชาตะ
เพราะเกิดมาแล้ว ยังสุขให้เกิดแก่สัตว์ทั้งหลาย ทั่วชมพูทวีป.
พระองค์ทรงครองฆราวาสวิสัยเก้าพันปี
ทรงมีปราสาท ๓ หลัง ชื่อว่าสิรี อุปสิรี และสิรินันทะ๑
ปรากฏพระสนมนารีสองหมื่นสามพันนาง มี พระนางสิรินันทาเทวี เป็นประมุข.
เมื่อพระโอรสพระนามว่า อุปเสน ของพระนางสิรินันเทวีทรงสมภพแล้ว
พระองค์ก็ทรงเห็นนิมิต ๔
ทรงม้าต้นชื่อว่า หังสวหัง เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์
ทรงผนวช มนุษย์โกฏิหนึ่ง ก็บวชตามพระองค์ผู้ทรงผนวชอยู่

ลำดับนั้น
พระมหาบุรุษนั้น อันมนุษย์เหล่านั้นแวดล้อมแล้ว
ทรงบำเพ็ญเพียร ๙ เดือน ในวันวิสาขบูรณมี เสวยข้าวมธุปายาส รสอร่อย
ที่ธิดาของสิรินันทนเศรษฐีแห่งสิรินันทนนคร ถวายแล้ว
ทรงยับยั้งพักกลางวัน ณ สาลวัน
๑. บาลีเป็น สิริ อุปสิริ และจันทะ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 500
เวลาเย็น ทรงรับหญ้า ๘ กำ ที่สุนันทอาชีวกถวายแล้ว
เสด็จเข้าไปยังโพธิพฤกษ์ ชื่อ เวฬุ ต้นไผ่
ทรงลาดสันถัตหญ้ากว้าง ๓๓ ศอก
เมื่อดวงอาทิตย์ยังคงอยู่ ก็ทรงกำจัดกองกำลังมาร พร้อมทั้งตัวมาร
ทรงแทงตลอดพระสัมมาสัมโพธิญาณ
ก็ทรงเปล่งพระอุทานที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ทรงประพฤติมาแล้ว
ทรงยับยั้งอยู่ใกล้โพธิต้นพฤกษ์นั่นแล ตลอด ๗ สัปดาห์ อันท้าวมหาพรหมทูลอาราธนาแล้ว
ทรงเห็น พระสุทัสสนกุมาร พระกนิษฐภาดาของพระองค์และเทวกุมาร บุตรปุโรหิต
เป็นผู้สามารถแทงตลอดธรรมคือสัจจะ ๔
เสด็จไปทางอากาศ ลงที่ สุมังคลราชอุทยาน กรุงสุมงคล
ให้พนักงานเฝ้าราชอุทยาน เรียก พระสุทัสสนกุมาร กนิษฐภาดาและ เทวกุมาร
บุตรปุโรหิตมาแล้ว ประทับนั่งท่ามกลางกุมารทั้งสองนั้น พร้อมด้วยบริวาร
ทรงประกาศพระธรรมจักร ณ ที่นั้น ธรรมาภิสมัยได้มีแก่สัตว์โกฏิหนึ่ง นี้เป็นอภิสมัยครั้งที่ ๑.
ครั้ง พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงทำยมกปาฏิหาริย์ ณ โคน มหาสาลพฤกษ์
ใกล้ประตูสุทัสสนราชอุทยานเสด็จเข้าจำพรรษา ณ ดาวดึงส์เทวโลก
ธรรมาภิสมัยได้มีแก่สัตว์สามล้านเจ็ดแสน นี้เป็นอภิสมัยครั้งที่ ๒.

ครั้งพระสุชาตทศพล เสด็จเข้าเฝ้าพระชนก
ธรรมาภิสมัยได้มีแก่สัตว์หกล้าน นี้เป็นอภิสมัยครั้งที่ ๓.

ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
ในมัณฑกัปนั้นนั่นแล มีพระพุทธเจ้าพระนามว่า สุชาตะ ผู้นำ
มีพระหนุดังคางราชสีห์ มีพระศอดังโค อุสภะ มีพระคุณหาประมาณมิได้ เข้าเฝ้าได้ยาก.
พระสัมพุทธเจ้า รุ่งเรืองด้วยพระสิริ ย่อมงามสง่าทุกเมื่อ เหมือนดวงจันทร์หมดจดไร้มลทิน
เหมือนดวงอาทิตย์ ส่องแสงแรงร้อน ฉะนั้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 501
พระสัมพุทธเจ้า บรรลุพระโพธิญาณอันสูงสุดสิ้นเชิงแล้ว
ทรงประกาศพระธรรมจักร ณ กรุงสุมงคล.
เมื่อพระสุชาตพุทธเจ้า ผู้นำโลก
ทรงแสดงธรรมอันประเสริฐ สัตว์แปดสิบโกฏิ ตรัสรู้ ในการแสดงธรรมครั้งที่ ๑.
ครั้งพระสุชาตพุทธเจ้า ผู้มีบริวารยศหาประมาณมิได้
เสด็จเข้าจำพรรษา ณ เทวโลก อภิสมัยครั้งที่ ๒ ได้มีแก่ สัตว์ สามล้านเจ็ดแสน.
ครั้งพระสุชาตพุทธเจ้า ผู้เสมอด้วย พระพุทธเจ้า
ผู้ไม่มีผู้เสมอ เข้าไปโปรดพระชนก อภิสมัยครั้งที่ ๓ ได้มีแก่สัตว์ หกล้าน.

แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า ตตฺเถว มณฺฑกปฺปมฺหิ ความว่า ในมัณฑกัปใด
พระผู้มีพระภาคเจ้า สุเมธะ ทรงอุบัติแล้ว ในกัปนั้นนั่นแหละ
แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าสุชาตะก็อุบัติแล้ว.
บทว่า สีหหนุ ได้แก่ ชื่อว่า สีหหนุ
เพราะพระหนุของพระองค์เหมือนคางราชสีห์ ก็ราชสีห์ คางล่างเท่านั้นเต็ม คางบนไม่เต็ม.
ส่วนพระมหาบุรุษนั้น เต็มทั้งสองพระหนุเหมือนคางล่างของราชสีห์
จึงเป็นเสมือนดวงจันทร์ ๑๒ คา
ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า สีหหนุ.
บทว่า อุสภกฺขนฺโธ ได้แก่มีพระศอเสมอ อิ่ม กลม เหมือนโค อุสภะ
อธิบายว่า มีลำพระศอเสมือนกลองทองกลมกลึง.
บทว่า สตรํสีวแปลว่า เหมือนควงอาทิตย์.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 502
บทว่า สิริยา ได้แก่ ด้วยพระพุทธสิริ.
บทว่า โพธิมุตฺตมํ ได้แก่ พระสัมโพธิญาณอันสูงสุด.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดงธรรมโปรดมนุษย์ที่มาใน สุธรรมราชอุทยาน กรุงสุธรรมวดี
ทรงยังชนหกล้านให้บวชด้วยเอหิภิกขุภาวะ
ทรงยกปาติโมกข์ขึ้นแสดงท่ามกลางภิกษุเหล่านั้น นั้น เป็นสันนิบาตครั้งที่ ๑.

ต่อจากนั้น
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จลงจากเทวโลก
ภิกษุห้าล้านประชุมกัน เป็นสันนิบาตครั้งที่ ๒.
พระสุทัสสนเถระพาบุรุษสี่แสนซึ่งฟังข่าวว่าพระสุทัสสนกุมาร
ทรงผนวชในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้า บรรลุพระอรหัตจึงมาเข้าเฝ้าพระสุชาตนราสภ.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรมโปรดบุรุษเหล่านั้น
ทรงให้บวชด้วยเอหิภิกขุบรรพชา
ทรงยกปาติโมกข์ขึ้นแสดงในสันนิบาตที่ประกอบด้วยองค์ ๔ นั้นเป็นสันนิบาตครั้งที่ ๓.

ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า

พระสุชาตพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่
มีสันนิบาตประชุมพระสาวก ผู้เป็นพระขีณาสพไร้มลทินมีจิตสงบคงที่ ๓ ครั้ง.
พระอรหันตสาวก ผู้ถึงกำลังแต่งอภิญญา
ผู้ไม่ต้องไปในภพน้อยภพใหญ่ หกล้าน เหล่านั้นประชุมกันเป็นการประชุมครั้งที่ ๑.
ในสันนิบาตต่อมาอีก
เมื่อพระชินพุทธเจ้าเสด็จลงจากเทวโลก
พระอรหันตสาวกห้าล้านประชุมกัน เป็นการประชุมครั้งที่ ๒.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 503
พระสุทัสสนอัครสาวก เมื่อเข้าเฝ้าพระนราสภก็เข้าเฝ้าพระสัมพุทธเจ้า พร้อมด้วยภิกษุสาวกสี่แสน.
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า อปฺปตฺตานํ ความว่า ผู้ไม่ถึงพร้อมในภพน้อยภพใหญ่.
ปาฐะว่า อปฺปวตฺตา ภวาภเว ดังนี้ก็มี. ความก็อย่างนั้นเหมือนกัน.
บทว่า ติทิโวโรหเณ ได้แก่ เมื่อพระชินพุทธเจ้าเสด็จลงจากโลกสวรรค์.
จึงเห็นว่าลงในอรรถกัตตุการก ท่านกล่าวเป็นการกวิปลาส.
อีกนัยหนึ่ง
บทว่า ติทิโวโรหเณ ได้แก่ ในการเสด็จลงจากเทวโลก.
บทว่า ชิเน ได้แก่ เมื่อพระชินพุทธเจ้า พึงเห็นสัตตมีวิภัตติลงในในอรรถฉัฏฐีวิภัตติ.

ได้ยินว่า ครั้งนั้น
พระโพธิสัตว์ของเรา เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ
สดับข่าวว่า พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นแล้วในโลก ก็เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
สดับธรรมกถา ก็ถวายราชสมบัติในมหาทวีปทั้ง ๔ พร้อมด้วยรัตนะ ๗ แด่
พระภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ทรงผนวชในสำนักของพระศาสดา
ชาวทวีปทั้งสิ้น รวบรวมรายได้ที่เกิดในรัฐ ทำหน้าที่ของคนวัดให้สำเร็จ ถวาย
มหาทานเป็นประจำแก่พระสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน พระศาสดาแม้พระองค์นั้น
ก็ทรงพยากรณ์พระโพธิสัตว์นั้นว่า
จักเป็นพระพุทธเจ้า พระนามว่า โคตมะ ในอนาคตกาล.
ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
สมัยนั้น เราเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ เป็นใหญ่ในทวีปทั้ง ๔ มีกำลังมาก ท่องเที่ยวไปในอากาศ.
เรามอบถวายราชสมบัติอย่างใหญ่ ในทวีปทั้ง ๔ และรัตนะ ๗ แด่พระพุทธเจ้าผู้สูงสุด
แล้วบวชในสำนักของพระองค์.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 504
ชาววัดทั้งหลาย รวบรวมรายได้ในชนบทมาจัดปัจจัย ที่นอน ที่นั่ง สำหรับพระภิกษุสงฆ์.
แม้พระพุทธเจ้า ผู้เป็นใหญ่ในหมื่นโลกธาตุพระองค์นั้น
ก็ทรงพยากรณ์เราว่า ท่านผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้า ในที่สุดสามหมื่นกัป.
พระตถาคตตั้งความเพียร ฯ ล ฯ จักอยู่ต่อหน้าของท่านผู้นี้.
เราฟังพระดำรัสของพระองค์แล้ว ก็ยิ่งร่าเริงใจ
อธิษฐานข้อวัตรยิ่งยวดขึ้นไป เพื่อบำเพ็ญบารมี ๑๐ ให้บริบูรณ์.
เราเล่าเรียนพระสูตร พระวินัย และนวังคสัตถุศาสน์ทั้งหมด ยังพระศาสนาของพระชินเจ้าให้งาม.
เราอยู่อย่างไม่ประมาทในพระศาสนานั้น
เจริญพรหมวิหารภาวนา ถึงฝั่งแห่งอภิญญาแล้ว ไปสู่พรหมโลก.

แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า จตุทีปมฺหิ ความว่า แห่งมหาทวีป ๔ ที่มีทวีป [น้อย.] เป็นบริวาร.
บทว่า อนฺตลิกฺขจโร ความว่า ทำจักรรัตนะไว้ข้างหน้าท่องเที่ยวไปในอากาศ.
บทว่า รตเน สตฺต ได้แก่ รัตนะ ๗ มีหัตถิรัตนะเป็นต้น.
บทว่า อุตฺตเม ก็คือ อุตฺตมานิ เเปลว่า อุดม
อีกนัยหนึ่ง
พึงเห็นอรรถว่าอุตฺตเม พุทฺเธ แปลว่าในพระพุทธเจ้า ผู้อุดม.
บทว่า นิยฺยาตยิตฺวาน ได้แก่ ถวาย.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 505
บทว่า อุฏฺฐานํ ได้แก่ ผลประโยชน์ที่เกิดในรัฐ อธิบายว่า รายได้.
บทว่า ปฏิปิณฺฑิย ได้แก่ รวมเอามาเก็บไว้เป็นกอง.
บทว่า ปจฺจยํ ได้แก่ ปัจจัยต่างๆ มีจีวรเป็นต้น .
บทว่า ทสสหสฺสิมฺหิ อิสฺสโร ได้แก่ เป็นใหญ่ในหมื่นโลกธาตุ
คำนี้นั้น พึงทราบว่า ตรัสหมายถึงเขตแห่งชาติ
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเป็นใหญ่แห่งโลกธาตุ ที่ไม่มีที่สุด.
บทว่า ตึสกฺปฺปสหสฺสมฺหิ ความว่า ในที่สุดสามหมื่นกัปนับแต่กัปนี้.

พระผู้มีพระภาคเจ้าสุชาตะ
ทรงมีพระนคร ชื่อว่า สุมังคละ
พระชนกพระนามว่า พระเจ้าอุคคตะ
พระชนนีพระนามว่า พระนางปภาวดี
คู่พระอัครสาวก ชื่อว่า พระสุทัสสนะ และ พระสุเทวะ
พระพุทธอุปัฏฐากชื่อว่า พระนารทะ
พระอัครสาวิกา ชื่อว่า พระนาคา และ พระนาคสมาลา
โพธิพฤกษ์ชื่อว่า มหาเวฬุ ต้นไผ่ใหญ่
เขาว่าต้นไผ่ใหญ่นั้น มีรูลีบ ลำต้นใหญ่ ปกคลุมด้วยใบทั้งหลายที่ไร้มลทิน
สีเสมือนแก้วไพฑูรย์ น่ารื่นรมย์อย่างยิ่ง งามเพริศแพร้วเหมือนกำแววหางนกยูง
ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น มีพระสรีระสูง ๕๐ ศอก
พระชนมายุเก้าหมื่นปี
พระอัครมเหสีพระนามว่า พระนางสิรีนันทา
พระโอรสพระนามว่า อุปเสนะ
เสด็จออกอภิเนษกรมณ์ด้วยยาน คือ ม้าต้น.
พระองค์ดับขันธปรินิพพาน ณ พระวิหาร สิลาราม กรุงจันทวดี

ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า

พระสุชาตพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่
ทรงมีพระนครชื่อว่า สุมงคล
พระชนกพระนามว่า พระเจ้าอุคคตะ
พระชนนีพระนามว่า พระนางปภาวดี.
พระสุชาตพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่
ทรงมีพระอัครสาวก ชื่อว่าพระสุทัสสนะ และ พระสุเทวะ
พระพุทธอุปัฏฐาก ชื่อว่าพระนารทะ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 506
มีพระอัครสาวิกา ชื่อว่าพระนาคา และพระนาคสมาลา
โพธิพฤกษ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นเรียกว่า มหาเวฬุ.
ไผ่ต้นนั้น ลำต้นตัน ไม่มีรู มีใบมาก ลำตรงเป็นไผ่ต้นใหญ่ น่าดูน่ารื่นรมย์.
ลำเดียวโดด เติบโต กิ่งทั้งหลายแตกออกจาก
ต้นนั้น ไผ่ต้นนั้นงามเหมือนกำแววทางนกยูง ที่เขาผูกกำไว้ดีแล้ว.
ไผ่ต้นนั้นไม่มีหนาม ไม่มีรู เป็นไผ่ใหญ่ มีกิ่งแผ่ไปไม่มีช่อง มีร่มเงาทึบน่ารื่นรมย์.
พระชินพุทธเจ้าพระองค์นั้น ว่าโดยส่วนสูง ก็ ๕๐ ศอก
ทรงประกอบด้วยความประเสริฐ โดยเพราะอาการพร้อมสรรพ ทรงถึงพระพุทธคุณครบถ้วน.
พระรัศมีของพระองค์ ก็เสมอด้วยพระพุทธเจ้าที่ไม่มีผู้เสมอ
แล่นออกโดยรอบพระวรกายไม่มีประมาณ ชั่งไม่ได้ เปรียบไม่ได้ด้วยข้ออุปมาทั้งหลาย.

ในยุคนั้น มนุษย์มีอายุเก้าหมื่นปี
พระองค์ทรงพระชนม์ยืนถึงเพียงนั้น จึงทรงยังหมู่ชนเป็นอันมากให้ข้ามโอฆสงสาร.
ครั้งนั้น ปาพจน์คือธรรมวินัย งามด้วยพระอรหันต์ทั้งหลาย เหมือนคลื่นในสาคร
เหมือนดารากรในท้องนภากาศ ฉะนั้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 507
พระพุทธเจ้าผู้เสมอด้วยพระพุทธเจ้า ผู้ไม่มีผู้เสมอพระองค์นั้น
ด้วยพระคุณเหล่านั้นที่ชั่งไม่ได้ด้วยทั้งนั้น ก็อันตรธานไปสิ้น สังขารทั้งปวงก็ว่างเปล่าแน่แท้.
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า อจฺฉิทฺโท แปลว่า มีรูเล็ก
พึงเห็นเหมือนในประโยคเป็นต้นว่า อนุทรา กญฺญา หญิงสาวท้องเล็ก อาจารย์
บางพวกกล่าว ฉิทฺทํ โหติ ปริตฺตกํ ดังนี้ก็มี.
บทว่า ปตฺติโก แปลว่า มีใบมาก. อธิบายว่า ปกคลุมด้วยใบทั้งหลาย มีสีเหมือนแก้วผลึก
บทว่า อุชุ ได้แก่ ไม่คด ไม่งอ.
บทว่า วํโส แปลว่า ไม้ไผ่.
บทว่า พฺรหา ได้แก่ ใหญ่โดยรอบ.
บทว่า เอกกฺขนฺโธ ความว่า งอกขึ้นลำเดียวโดดไม่มีเพื่อน.
บทว่า ปวฑฺฒิตฺวา แปลว่า เติบโตแล้ว.
บทว่า ตโต สาขาปภิชฺชติ ได้แก่ กิ่ง ๕ แฉก แตกออกจากยอดไผ่ต้นนั้น.
ปาฐะว่า ตโตสาขา ปภิชฺชถ ดังนี้ก็มี.
บทว่า สุพทฺโธ ได้แก่ ที่เขาผูกโดยอาการผูกเป็นห้าเส้นอย่างดี.
กำแววหางนกยูง ที่เขาทำผูกเพื่อป้องกันแดด เรียกว่าโมรหัตถะ.
บทว่า น ตสฺส กณฺฏกา โหนฺติ ความว่า ไผ่ต้นนั้น เป็นต้นไม้มีหนามตามธรรมดา ก็ไม่มีหนาม.
บทว่า อวิรโฬ ได้แก่ ปกคลุมด้วยกิ่งไม่มีช่อง.
บทว่า สนฺทจฺฉาโย ได้แก่ มีร่มเงาทึบ ท่านกล่าวว่ามีร่มเงาทึบ ก็เพราะไม่มีช่อง.
บทว่า ปญฺญาสรตโน อาสิ ได้แก่ ๕๐ ศอก.
บทว่า สพฺพาการวรูเปโต ได้แก่ ประกอบแล้วด้วยความประเสริฐทั้งหลาย
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 508
โดยอาการทั้งปวง ชื่อว่า ประกอบพร้อมด้วยความประเสริฐโดยการพร้อมสรรพ.
บทว่า สพฺพคุณมุปาคโต เป็นเพียงไวพจน์ของบทหน้า.
บทว่า อปฺปมาโณ ได้แก่ เว้นจากประมาณ หรือชื่อว่า ไม่มีประมาณ เพราะไม่อาจจะนับได้.
บทว่า อตุลิโย แปลว่า ชั่งไม่ได้. อธิบายว่า ไม่มีใครเหมือน.
บทว่า โอปมิเมหิ ได้แก่ ข้อที่พึงเปรียบ.
บทว่า อนูปโม ได้แก่ เว้นการเปรียบ อธิบายว่า อุปมาไม่ได้ เพราะไม่อาจกล่าว
อุปมาว่า เหมือนผู้นี้ ผู้นี้.
บทว่า คุณานิ จ ตานิ ก็คือ คุณา จ เต ความว่า พระคุณทั้งหลาย มีพระสัพพัญญุตญาณเป็นต้น
ท่านกล่าวเป็นลิงควิปลาส
คำที่เหลือทุกแห่ง ความง่ายทั้งนั้นแล.
จบพรรณนาวงศ์พระสุชาตพุทธเจ้า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 509

62


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 477


๑๑. วงศ์พระสุเมธพุทธเจ้าที่ ๑๑
ว่าด้วยพระประวัติของพระสุเมธพุทธเจ้า

[๑๒] ต่อจาก สมัยของพระปทุมุตตรพุทธเจ้า

พระชินพุทธเจ้า พระนามว่า สุเมธะ
เป็นผู้นำโลก ผู้อันเขาเข้าเฝ้าได้ยาก มีพระเดชยิ่ง สูงสุดแห่งโลกทั้งปวง.
พระองค์มีพระเนตรผ่องใส พระพักตร์งาม พระวรกายใหญ่ ตรง สดใส
ทรงแสวงประโยชน์แก่สรรพสัตว์ ทรงเปลื้องคนเป็นอันมากให้พ้นจากเครื่องผูก.
ครั้งพระพุทธเจ้า บรรลุพระโพธิญาณ อันสูงสุดสิ้นเชิง
ทรงประกาศพระธรรมจักร ณ กรุงสุทัสสนะ.
ในการแสดงธรรม แม้พระองค์ก็มีอภิสมัย ๓ ครั้ง
อภิสมัยครั้งที่ ๑ ได้มีแก่สัตว์ แสนโกฏิ.
ต่อมาอีก พระชินพุทธเจ้า ทรงทรมานยักษ์ชื่อว่า กุมภกรรณ
อภิสมัยครั้งที่ ๒ ได้มีแก่สัตว์เก้าหมื่นโกฏิ.
ต่อมาอีก พระผู้มีพระยศบริวาร หาประมาณมิได้
ทรงประกาศสัจจะ ๔ อภิสมัยครั้งที่ ๓ ได้มีแก่ สัตว์แปดหมื่นโกฏิ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 478
[/color]พระสุเมธพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่
ทรงมีสันนิบาต ประชุมพระสาวก ผู้เป็นพระขีณาสพไร้มลทินมีจิตสงบคงที่ ๓ ครั้ง.
ครั้งพระชินพุทธเจ้า เสด็จเข้าไปในกรุงสุทัสสนะ
พระภิกษุขีณาสพร้อยโกฏิประชุมกัน.
ต่อมาอีก
เมื่อภิกษุทั้งหลาย กรานกฐินที่ภูเขาเทวกูฏ
ภิกษุเก้าสิบโกฏิประชุมกัน เป็นสันนิบาตครั้งที่๒.
ต่อมาอีก
ครั้งพระทศพลเสด็จจาริกไป ภิกษุแปดสิบโกฏิประชุมกัน เป็นสันนิบาตครั้งที่ ๓.

ครั้งนั้น เราเป็นมาณพ ชื่อ อุตตระ
เราสั่งสมทรัพย์ในเรือนแปดสิบโกฏิ.
เราถวายทรัพย์เสียทั้งหมดสิ้น แด่พระผู้นำโลกพร้อมทั้งพระสงฆ์ ถึงพระองค์เป็นสรณะ
ชอบใจการบวชอย่างยิ่ง.

ครั้งนั้น แม้พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เมื่อทรงทำอนุโมทนา ก็ทรงพยากรณ์เราว่า จักเป็นพระพุทธเจ้า เมื่อล่วงไปสามหมื่นกัป.
พระตถาคต ออกอภิเนษกรมณ์จากกรุงกบิลพัสดุ์อันน่ารื่นรมย์
ทรงตั้งความเพียรทำทุกกรกิริยา.
พระตถาคตประทับนั่ง ณ โคนต้นอชปาลนิโครธ
รับข้าวมธุปายาสในที่นั้น เข้าไปยังแม่น้ำเนรัญชรา.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 479
พระชินเจ้าพระองค์นั้น เสวยข้าวมธุปายาสที่ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญูชรา
เสด็จไปตามทางอันดีที่เขาจัดแต่งไว้ ไปที่โคนโพธิพฤกษ์.

แต่นั้น พระผู้มียศใหญ่
ทรงทำประทักษิณโพธิมัณฑสถานอันยอดเยี่ยม
ตรัสรู้ ณ โคนโพธิพฤกษ์ชื่อต้นอัสสัตถะ.

ท่านผู้นี้จักมีพระชนนี พระนามว่า พระนางมายา
พระชนก พระนามว่า พระเจ้าสุทโธทนะ
ท่านผู้นี้จักมีพระนามว่าโคตมะ.
จักมีพระอัครสาวก ชื่อว่า พระโกลิตะ และพระอุปติสสะ
ผู้ไม่มีอาสวะปราศจากราคะ มีจิตสงบ ตั้งมั่น
พระพุทธอุปัฏฐากชื่อพระอานันทะ จักบำรุงพระชินเจ้าผู้นี้.
จักมีพระอัครสาวิกา ชื่อว่า พระเขมา และพระอุบลวรรณา
ผู้ไม่มีอาสวะ ปราศจากราคะ มีจิตสงบตั้งมั่น
โพธิพฤกษ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เรียกว่า ต้นอัสสัตถะ.
จักมีอัครอุปัฏฐาก ชื่อว่าจิตตะ และหัตถกะอาฬวกะ
อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า นันทมาตา และอุตตรา
พระโคดมผู้มีพระยศ จักมีพระชนมายุ ๑๐๐ ปี.

มนุษย์และเทวดาทั้งหลาย ฟังพระดำรัสนี้ของพระพุทธเจ้า
ผู้ไม่มีผู้เสมอ ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่แล้ว
ก็พากันปลาบปลื้มใจว่า ท่านผู้นี้เป็นหน่อพุทธางกูร.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 480
หมื่นโลกธาตุ ทั้งเทวโลก พากันส่งเสียงโห่ร้องปรบมือ หัวร่อร่าเริง
ประคองอัญชลีนมัสการ กล่าวว่าผิว่า พวกเราจักพลาดคำสั่งสอน [ศาสนา]
ของพระโลกนาถพระองค์นี้ไซร้ ในอนาคตกาลพวกเราก็จักอยู่ต่อหน้าของท่านผู้นี้.
มนุษย์ทั้งหลาย เมื่อจะข้ามแม่น้ำ พลาดท่าน้ำข้างหน้า ก็ถือเอาท่าน้ำข้างหลังข้ามแม่น้ำใหญ่ ฉันใด.
พวกเราทั้งหมด ผิว่า ผ่านพ้นพระชินพุทธเจ้าพระองค์นี้ไซร้
ในอนาคตกาล พวกเราก็จักอยู่ต่อหน้าของท่านผู้นี้ฉันนั้นเหมือนกัน.
เราฟังพระดำรัสของพระองค์แล้ว จิตก็ยิ่งเลื่อมใส
จึงอธิษฐานข้อวัตรยิ่งยวดขึ้นไป เพื่อบำเพ็ญบารมี ๑๐ ให้บริบูรณ์.
เราเล่าเรียนพระสูตร พระวินัย และนวังคสัตถุศาสน์ทุกอย่าง
ทำศาสนาของพระชินพุทธเจ้าให้งาม.
เราไม่ประมาทในพระศาสนานั้น
อยู่แต่ในอิริยาบถนั่งยืนและเดิน ถึงฝั่งแห่งอภิญญา ก็ไปสู่พรหมโลก

พระสุเมธพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่
ทรงมีพระนครชื่อว่า สุทัสสนะ
พระชนกพระนามว่า พระเจ้าสุทัตตะ
พระชนนีพระนามว่า พระนางสุทัตตา.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 481
พระองค์ทรงครองฆราวาสวิสัยอยู่ เก้าพันปี
มีปราสาทชั้นยอด ๓ หลัง ชื่อว่า สุจันทะ กัญจนะ และสิริวัฑฒะ
มีพระสนมนารีที่ประดับกายงาม สี่หมื่นแปดพันนาง
มีพระอัครมเหสี พระนามว่า พระนางสุมนา
พระโอรสพระนามว่า ปุนัพพะ.
พระชินพุทธเจ้า ทรงเห็นนิมิต ๔
เสด็จออกอภิเนษกรมณ์ด้วยยานคือ ช้าง
ทรงตั้งความเพียร ๘ เดือนเต็ม.

พระมหาวีระสุเมธะ ผู้นำโลก ผู้สงบอันท้าว
มหาพรหมอาราธนาแล้ว ทรงประกาศพระธรรมจักร
ณ สุทัสสนราชอุทยานอันสูงสุด.

พระสุเมธพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่
มีพระอัครสาวกชื่อว่า พระสรณะ พระสัพพกามะ
พระพุทธอุปัฏฐากชื่อว่า พระสาคระ.
มีพระอัครสาวิกา ชื่อว่า พระรามา และ พระสุรามา
โพธิพฤกษ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เรียกว่า ต้นนิมพะคือ ต้นสะเดา.
อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า อุรุเวลา และยสวา
อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า ยสา และสิริวา.
พระมหามุนี สูง ๘๘ ศอก
ส่องสว่างทุกทิศเหมือนดวงจันทร์ ส่องสว่างเห็นหมู่ดาวฉะนั้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 482
ธรรมดามณีรัตนะของพระเจ้าจักรพรรดิ์ ย่อมสว่างไปโยชน์หนึ่ง ฉันใด
รัตนะคือ พระรัศมีของพระองค์ก็แผ่ไปโยชน์หนึ่งโดยรอบ ฉันนั้น.

ในยุคนั้น มนุษย์มีอายุเก้าหมื่นปี
พระองค์ทรงมีพระชนม์ยืนถึงเพียงนั้น
ย่อมยังหมู่ชนเป็นอันมากให้ข้ามโอฆสงสาร.

พระศาสนานี้ มากไปด้วยพระอรหันต์ทั้งหลาย
ผู้มีวิชชา ๓ มีอภิญญา ๖ ผู้ถึงกำลังฤทธิ์ คงที่.
พระอรหันต์แม้เหล่านั้น ผู้มีบริวารยศหาประมาณมิได้ ผู้หลุดพ้น ปราศจากอุปธิ
พระอรหันต์เหล่านั้น แสดงแสงสว่าง คือ ญาณแล้ว ต่างก็นิพพานกันหมด.
พระชินวรสุเมธพุทธเจ้า ดับขันธปรินิพพาน ณ พระวิหารเมธาราม
พระบรมสารีริกธาตุก็เฉลี่ยกระจายไปเป็นส่วนๆ ในประเทศนั้นๆ.
จบวงศ์พระสุเมธพุทธเจ้าที่ ๑๑

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 483

พรรณนาวงศ์พระสุเมธพุทธเจ้าที่ ๑๑
เมื่อพระปทุมุตตรสัมมาสัมพุทธเจ้า ดับขันธปรินิพพานแล้ว
ศาสนาของพระองค์ก็อันตรธานแล้ว
พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ไม่อุบัติเป็นเวลา เจ็ดหมื่นปี ว่างพระพุทธเจ้า ในกัปหนึ่ง
สุดท้ายสามหมื่นกัปนับแต่กัปนี้
มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบังเกิดสองพระองค์ คือ
พระสุเมธะ และ
พระสุชาตะ

ในสองพระองค์นั้น พระโพธิสัตว์นามว่า สุเมธะ ผู้บรรลุเมธาปัญญาแล้ว
บำเพ็ญบารมีทั้งหลาย บังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต
จุติจากนั้นแล้ว ก็ถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระนาง สุทัตตาเทวี
อัครมเหสี ของ พระเจ้าสุทัตตะ กรุงสุทัสสนะ
ถ้วนกำหนดทศมาส ก็ประสูติจากพระครรภ์พระชนนี ณ สุทัสสนราชอุทยาน
ประหนึ่งดวงทินกรอ่อนๆ ลอดหลืบเมฆ ฉะนั้น
พระองค์ครองฆราวาสวิสัย เก้าพันปี
เขาว่าทรงมีปราสาท ๓ หลัง ชื่อว่า สุจันทนะสุกัญจนะและสิริวัฒนะ
ปรากฏมีพระสนมนารีสามหมื่นแปดพันนาง มีพระนางสุมนามหาเทวีเป็นประมุข.

พระสุเมธกุมาร นั้น
เมื่อพระโอรสของพระนางสุมนาเทวี พระนามว่า ปุนัพพสุมิตตะ
ทรงสมภพ ทรงเห็นนิมิต ๔
เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ด้วยยานคือ ม้า
ทรงผนวช มนุษย์ร้อยโกฏิก็บวชตาม
พระองค์อันมนุษย์เหล่านั้นแวดล้อมแล้ว ทรงทำความเพียร ๘ เดือน
ในวันวิสาขบูรณมีเสวยข้าวมธุปายาส ที่ ธิดานกุลเศรษฐี ณ นกุลนิคม ถวายแล้ว
ทรงยับยั้งพักกลางวัน ณ สาลวัน
ทรงรับหญ้า ๘ กำ ที่ สุวัฑฒอาชีวก ถวายแล้ว
ทรงลาดสันถัตหญ้า กว้าง ๒๐ ศอก ที่โคนโพธิพฤกษ์ ชื่อ นีปะ ต้นกะทุ่ม
ทรงกำจัดกองกำลังมาร พร้อมทั้งตัวมารแล้ว ทรงบรรลุพระอภิสัมโพธิญาณ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 484
ทรงเปล่งพระอุทานว่า อเนกชาติลํสารํ ฯ เป ฯ ตณฺหานํ ขยมชฺฌคา
ทรงยับยั้งใกล้ๆ โพธิพฤกษ์ ๗ สัปดาห์ ในสัปดาห์ที่ ๘
ทรงรับอาราธนาแสดงธรรมของท้าวมหาพรหม
ทรงตรวจดูภัพพบุคคล
ทรงเห็น สรณกุมารและสัพพกามีกุมาร
พระกนิษฐภาดาของพระองค์ และภิกษุที่บวชกับพระองค์ร้อยโกฏิ
เป็นผู้สามารถแทงตลอดธรรมคือ สัจจะ ๔ จึงเสด็จทางอากาศ
ทรงลงที่สุทัสสนะราชอุทยาน ใกล้กรุงสุทัสสนะ
โปรดให้พนักงานเฝ้าพระราชอุทยาน เรียกพระกนิษฐภาดามาแล้ว
ทรงประกาศพระธรรมจักร ท่ามกลางบริวารเหล่านั้น
ครั้งนั้น ธรรมาภิสมัยได้มีแก่ สัตว์แสนโกฏิ นี้เป็นอภิสมัยครั้งที่ ๑
ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
ต่อจากสมัยของพระปทุมุตตรพุทธเจ้า
มีพระพุทธเจ้าพระนามว่า สุเมธ ผู้นำ
ผู้ที่เข้าเฝ้ายาก มีพระเดชยิ่ง เป็นพระมุนี สูงสุดแห่งโลกทั้งปวง.

พระองค์มีพระเนตรผ่องใส พระพักตร์งามพระวรกายใหญ่ ตรง
สดใส ทรงแสวงประโยชน์แก่สรรพสัตว์ ทรงเปลื้องสัตว์เป็นอันมาก จากเครื่องผูก.

ครั้งพระพุทธเจ้าทรงบรรลุพระโพธิญาณ อันสูงสุดสิ้นเชิง
ทรงประกาศพระธรรมจักร ณ กรุงสุทัสสนะ.
อภิสมัยในการทรงแสดงธรรมแม้ของพระองค์ก็มี ๓ ครั้ง
อภิสมัยครั้งที่ ๑ ได้มีแก่สัตว์ แสนโกฏิ.
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า อุคฺคเตโช ได้แก่ มีพระเดชสูง.
บทว่า ปสนฺนเนตฺโต ได้แก่ มีพระนัยนาใสสนิท
พระเนตรใสเหมือนก้อนแก้วมณี ที่
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 485
เขาชำระขัดวางไว้ เพราะฉะนั้นพระองค์เขาจึงเรียกว่า ผู้มีพระเนตรใส
อธิบายว่า มีพระนัยนาประกอบด้วย ขนตาอันอ่อนน่ารักเขียวไร้มลทิน และละเอียด
จะกล่าวว่า สุปฺปสนฺนปญฺจนยโน มีพระจักษุ ๕ ผ่องใสดี ดังนี้ก็ควร.
บทว่า สุมุโข ได้แก่ มีพระพักตร์เสมือนดวงจันทร์เต็มดวงในฤดูสารท.

บทว่า พฺรหา ได้แก่ พรหาคือใหญ่
เพราะทรงมีพระสรีระขนาด ๘๘ ศอก
อธิบายว่า ขนาดพระสรีระไม่ทั่วไปกับคนอื่นๆ.

บทว่า อุชุ ได้แก่ มีพระองค์ตรงเหมือนพรหม คือ มีพระสรีระสูงตรงขึ้นนั่นเอง
อธิบายว่ามีพระวรกายเสมือนเสาระเนียดทอง ที่เขายกขึ้นกลางเทพนคร.
บทว่า ปตาปวา ได้มีพระสรีระรุ่งเรือง.
บทว่า หิเตสี แปลว่า แสวงหาประโยชน์เกื้อกูล.
บทว่า อภิสมยา ตีณิ ก็คือ อภิสมยา ตโย อภิสมัย ๓ ทำเป็นลิงควิปลาส.
ครั้งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเข้ามหากรุณาสมาบัติตอนย่ำรุ่ง
ออกจากสมาบัตินั้นแล้ว ทรงตรวจดูโลก
ก็เห็นยักษ์กินคน ชื่อ กุมภกรรณ
มีอานุภาพเสมือน กุมภกรรณ ปรากฏเรือนร่างร้ายอยู่ปากดงใหญ่
คอยดักตัดการสัญจรทางเข้าดงอยู่ แต่ลำพังพระองค์ไม่มีสหาย
เสด็จเข้าไปยังภพของยักษ์ตนนั้น เข้าไปข้างใน ประทับนั่งบนที่ไสยาสน์อันมีสิริ
ลำดับนั้น
ยักษ์ตนนั้น ทนการลบหลู่ไม่ได้ ก็กริ้วโกรธเหมือนงูมีพิษร้ายแรง
ถูกตีด้วยไม้ ประสงค์จะขู่พระทศพลให้กลัว
จึงทำอัตภาพของตนให้ร้ายกาจ
ทำศีรษะเหมือนภูเขา
เนรมิตดวงตาทั้งสองเหมือนดวงอาทิตย์
ทำเขี้ยวคมยาวใหญ่อย่างกับหัวคันไถ
มีท้องเขียวใหญ่ยาน
มีแขนอย่างกะลำต้นตาล
มีจมูกแบนวิกลและคด
มีปากแดงใหญ่อย่างกะปล่องภูเขา
มีเส้นผมใหญ่เหลืองและหยาบ
มีแววตาน่ากลัวยิ่ง
มายืนอยู่เบื้องพระพักตร์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าสุเมธะ
บังหวนควัน บันดาลเพลิงลุกโชน บันดาลฝน ๙ อย่าง คือ
ฝนแผ่นหิน
ภูเขา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 486
เปลวไฟ
น้ำ
ตม
เถ้า
อาวุธถ่านเพลิงและฝนทราย ให้ตกลงมา
ไม่อาจให้พระผู้มีพระภาคเจ้าขับเขยื้อนแม้เท่าปลายขน
คิดว่า จำเราจักถามปัญหาแล้วฆ่าเสีย
แล้วถามปัญหาเหมือนอาฬวกยักษ์
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงนำยักษ์ตนนั้นเข้าสู่วินัย
ด้วยทรงพยากรณ์ปัญหา.
เขาว่า วันที่ ๒ จากวันนั้น พวกมนุษย์ชาวแคว้น
นำเอาราชกุมารพร้อมด้วยภัตตาหารที่บรรทุกมาเต็มเกวียน มอบให้ยักษ์ตนนั้น
ครั้งนั้น ยักษ์ได้ถวายพระราชกุมารแด่พระพุทธเจ้า
พวกมนุษย์ที่อยู่ประตูดง ก็เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
ครั้งนั้น ในสมาคมนั้น พระทศพลเมื่อจะทรงแสดงธรรมอันเหมาะแก่ใจของยักษ์
ทรงยังธรรมจักษุให้เกิดแก่สัตว์เก้าหมื่นโกฏิ นั้นเป็นธรรมาภิสมัยครั้งที่ ๒

ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
วันรุ่งขึ้น พระชินพุทธเจ้าพระองค์นั้นทรงทรมาน ยักษ์กุมภกรรณ
อภิสมัยครั้งที่ ๒ ได้มีแก่ สัตว์ เก้าหมื่นโกฏิ.
ครั้งที่ทรงประกาศสัจจะ ๔ ณ สิรินันทราช อุทยาน อุปการีนคร
ธรรมาภิสมัยครั้งที่ ๓ ได้มีแก่สัตว์ แปดหมื่นโกฏิ

ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
ต่อมาอีก
พระผู้มีพระยศหาประมาณมิได้ ก็ทรงประกาศสัจจะ ๔
อภิสมัยครั้งที่ ๓ ได้มีแก่ สัตว์แปดหมื่นโกฏิ.
แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าสุเมธะ ก็ทรงมีสาวกสันนิบาต ๓ ครั้ง
ในสันนิบาตครั้งที่ ๑ ณ กรุงสุทัสสนะ มีพระขีณาสพร้อยโกฏิ
ในสันนิบาตครั้งที่ ๒ เมื่อพวกภิกษุกรานกฐิน ณ ภูเขาเทวกูฏ มีพระอรหันต์เก้าสิบโกฏิ
ในสันนิบาตครั้งที่ ๓ เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จจาริก มีพระอรหันต์แปดสิบโกฏิ
ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 487

พระสุเมธพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่
มีสันนิบาตประชุมสาวกขีณาสพ ผู้ไร้มลทิน มีจิตสงบคงที่ ๓ ครั้ง.
ครั้งพระชินพุทธเจ้าเสด็จเข้าไปยังกรุงสุทัสสนะ ภิกษุขีณาสพร้อยโกฏิ ประชุมกัน.
ต่อมา ครั้งภิกษุทั้งหลายช่วยกันกรานกฐิน ณ ภูเขาเทวกูฎ พระขีณาสพเก้าสิบโกฏิ
ประชุมกัน เป็นสันนิบาตครั้งที่ ๒.
ต่อมา ครั้งพระทศพลเสด็จจาริกไป พระขีณาสพแปดสิบโกฏิ
ประชุมกัน เป็นสันนิบาตครั้งที่ ๓.

ครั้งนั้น
พระโพธิสัตว์ของเราเป็นมาณพที่เป็นยอดของคนทั้งปวง ชื่อ อุตตระ
สละทรัพย์แปดสิบโกฏิ ที่ฝังเก็บไว้
ถวายมหาทานแด่พระสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน
ฟังธรรมของพระทศพลในครั้งนั้น ก็ตั้งอยู่ในสรณะ แล้วออกบวช
พระศาสดาแม้พระองค์นั้น เมื่อทรงทำอนุโมทนาโภชนทาน
ก็ทรงพยากรณ์พระโพธิสัตว์นั้นว่า
ในอนาคตกาล จักเป็นพระพุทธเจ้าพระนามว่า โคตมะ.
ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
สมัยนั้น เราเป็นมาณพชื่ออุตตระ เราสั่งสมทรัพย์ไว้ในเรือนแปดสิบโกฏิ.
เราถวายทรัพย์ทั้งหมดสิ้น แด่พระผู้นำโลกพร้อมทั้งพระสงฆ์ ถึงพระองค์เป็นสรณะ
และเราชอบใจการบวชอย่างยิ่ง.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 488
พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น เมื่อทรงทำอนุโมทนาทรงพยากรณ์เราว่า
ท่านผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้า เมื่อล่วงไปสามหมื่นกัป.
พระตถาคต ทรงตั้งความเพียร ฯ ล ฯ จักอยู่ต่อหน้าของท่านผู้นี้.
พึงทำคาถาพยากรณ์ให้พิศดาร
เราฟังพระดำรัสของพระองค์แล้ว จิตก็ยิ่งเลื่อม
ใสจึงอธิษฐานข้อวัตรยิ่งยวดขึ้นไป เพื่อบำเพ็ญบารมี ๑๐ ให้บริบูรณ์.
เราเล่าเรียนพระสูตรพระวินัย และนวังคสัตถุศาสน์ทุกอย่าง
ยังศาสนาของพระชินพุทธเจ้าให้งาม.
เราไม่ประมาทในพระศาสนานั้น.
อยู่แต่ในอิริยาบถ นั่ง ยืน และเดิน ก็ถึงฝั่งแห่งอภิญญา เข้าถึงพรหมโลก.
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า สนฺนิจิตํ ได้แก่ เก็บไว้โดยการฝัง.
บทว่า เกวลํ แปลว่า ทั้งสิ้น.
บทว่า สพฺพํ ได้แก่ ให้ไม่เหลือเลย.
บทว่า สสงฺเฆ ก็คือ พร้อมกับพระสงฆ์.
บทว่า ตสฺสูปคญฺฉึ ก็คือ ตํ อุปคญฺฉึฉัฏฐีวิภัตติลงในอรรถทุติยาวิภัตติ.
บทว่า อภิโรจยึ ได้แก่ บวช.
บทว่า ตึสกปฺปสหสฺสมฺหิ ความว่า เมื่อสามหมื่นกัปล่วงแล้ว.

พระผู้มีพระภาคเจ้า สุเมธะ
ทรงมีพระนครชื่อว่า สุทัสสนะ
พระชนกพระนามว่า พระเจ้าสุทัตตะ
พระชนนี พระนามว่า พระนางสุทัตตา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 489

คู่พระอัครสาวกชื่อว่า พระสรณะ และ พระสัพพกามะ
พระพุทธอุปัฏฐากชื่อ พระสาคระ
คู่พระอัครสาวิกา ชื่อ พระรามา พระสุรามา
โพธิพฤกษ์ ชื่อ มหานีปะ คือ ต้นกะทุ่มใหญ่
พระสรีระสูง ๘๘ ศอก
พระชนมายุเก้าหมื่นปี

ทรงครองฆราวาสวิสัยเก้าพันปี
พระอัครมเหสีพระนามว่า พระนาง สุมนา
พระโอรสพระนามว่า ปุนัพพสุมิตตะ
ออกอภิเนษกรมณ์ด้วยยาน คือช้าง.
คำที่เหลือปรากฏในคาถาทั้งหลาย
ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
พระสุเมธพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่
ทรงมีพระนครชื่อว่า สุทัสสนะ
พระชนกพระนามว่า พระเจ้าสุทัตตะ
พระชนนีพระนามว่า พระนางสุทัตตา.
พระสุเมธพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่
พระอัครสาวก ชื่อว่า พระสรณะ พระสัพพกามะ
พระพุทธอุปัฏฐาก ชื่อว่า พระสาคระ.
พระอัครสาวิกา ชื่อว่าพระรามา พระสุรามา
โพธิพฤกษ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เรียกว่า ต้นมหานีปะ คือต้นกะทุ่มใหญ่.
พระมหามุนี สูง ๘๘ ศอก
ทรงส่องสว่างทั่วทุกทิศ เหมือนดวงจันทร์ส่องสว่างในหมู่ดาว ฉะนั้น.
ธรรมดามณีรัตนะของพระเจ้าจักรพรรดิ ย่อมส่องสว่างไปได้โยชน์หนึ่ง ฉันใด
รัตนะคือพระรัศมีของพระสุเมธพุทธเจ้าพระองค์นั้น ก็แผ่ไปโยชน์หนึ่งโดยรอบ ฉันนั้นเหมือนกัน.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 490

ในยุคนั้น มนุษย์มีอายุเก้าหมื่นปี
พระองค์มีพระชนม์ยืนถึงเพียงนั้น ย่อมยังหมู่ชนเป็นอันมากให้ข้ามโอฆสงสาร.
พระศาสนานี้ เกลื่อนกล่นด้วยพระอรหันต์ ผู้มีวิชชา ๓ มีอภิญญา ๖ ผู้ถึงกำลังคงที่ดี.
พระอรหันต์เหล่านั้นทั้งหมด มียศที่หาประมาณมิได้ หลุดพ้น ปราศจากอุปธิ
ท่านผู้มียศใหญ่เหล่านั้นแสดงแสงสว่างคือญาณแล้ว ต่างก็นิพพานไป.
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า จนฺโท ตาราคเณ ยถา ความว่า จันทร์เพ็ญในท้องฟ้า
ย่อมส่องหมู่ดาวให้สว่าง ให้ปรากฏ ฉันใด
พระสุเมธพุทธเจ้า ก็ทรงส่องทุกทิศให้สว่าง ฉันนั้นเหมือนกัน.
อาจารย์บางพวกกล่าวว่า
จนฺโท ปณฺณรโส ยถา ดังนี้ก็มี. ปาฐะนั้น ความง่ายเหมือนกัน.
บทว่า จกฺกวตฺติมณี นาม ความว่า มณีรัตนะของพระเจ้าจักรพรรดิ์ ยาว ๔ ศอก
ใหญ่เท่ากับดุมเกวียน มีมณีแปดหมื่นสี่พันเป็นบริวาร
มาถึงมณีรัตนะที่ดูน่ารื่นรมย์อย่างยิ่งจากเวปุลลบรรพต
ดุจเรียกเอาความงามที่เกิดจากสิริของรัชนีกรเต็มดวงในฤดูสารทอันหมู่ดาวแวดล้อมแล้ว
รัศมีของมณีรัตนะนั้นที่มาอย่างนั้น ย่อมแผ่ไปตลอดโอกาสประมาณโยชน์หนึ่งโดยรอบ ฉันใด
รัตนะ คือ พระรัศมีก็แผ่ไปโยชน์หนึ่ง โดยรอบ
จากพระสรีระของพระผู้มีพระภาคเจ้า ฉันนั้นเหมือนกัน.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 491
บทว่า เตวิชฺชฉฬภิญฺเญหิ ความว่า ผู้มีวิชชา ๓ และอภิญญา ๖.
บทว่า พลปฺปตฺเตหิ ได้แก่ ผู้ถึงกำลังแห่งฤทธิ์.
บทว่า ตาทิหิ ได้แก่ ผู้ถึงความเป็นผู้คงที่.
บทว่า สมากุลํ ได้แก่ เกลื่อนกล่น คือ รุ่งเรืองด้วยผ้ากาสาวะอย่างเดียวกัน.
ท่านกล่าวว่า อิทํ หมายถึง พระศาสนาหรือพื้นแผ่นดิน.
บทว่า อมิตยสา ได้แก่ ผู้มีบริวารหาประมาณมิได้ หรือผู้มีเกียรติก้องที่ชั่งไม่ได้.
บทว่า นิรูปธี ได้แก่ เว้นจากอุปธิ ๔.
คำที่เหลือในคาถาทั้งหลายในที่นี้ทุกแห่ง ชัดแล้วทั้งนั้นแล.
จบพรรณนาวงศ์พระสุเมธพุทธเจ้า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ 492

[/b][/color]

63
ภาพการทำงานพัฒนาสถานีตำรวจภูธรน้ำหนาว ของอาจารย์เกษม เจ้าหน้าที่และครอบครัว วันที่ 19 สิงหาคม 2567






















64
ภาพการทำงานพัฒนาสถานีตำรวจภูธรน้ำหนาว ของอาจารย์เกษม เจ้าหน้าที่และครอบครัว วันที่ 17,18 สิงหาคม 2567

























66
ภาพการทำงานพัฒนาสถานีตำรวจภูธรน้ำหนาว ของอาจารย์เกษม เจ้าหน้าที่และครอบครัว วันที่ 9,11 สิงหาคม 2567



































67
ภาพการทำงานพัฒนาสถานีตำรวจภูธรน้ำหนาว ของอาจารย์เกษม เจ้าหน้าที่และครอบครัว วันที่ 6,8 สิงหาคม 2567























68
ภาพการทำงานพัฒนาสถานีตำรวจภูธรน้ำหนาว ของอาจารย์เกษม เจ้าหน้าที่และครอบครัว วันที่ 4 สิงหาคม 2567
















69
ภาพการทำงานพัฒนาสถานีตำรวจภูธรน้ำหนาว ของอาจารย์เกษม เจ้าหน้าที่และครอบครัว วันที่ 30,31 กรกฎาคม 2567

















70
ภาพการทำงานพัฒนาสถานีตำรวจภูธรน้ำหนาว ของอาจารย์เกษม เจ้าหน้าที่และครอบครัว วันที่ 27,28,29 กรกฎาคม 2567



















หน้า: 1 ... 5 6 [7] 8 9 10