กระทู้เมื่อเร็วๆ นี้
กระดานสนทนาธรรม

ที่พักสงฆ์ป่าสามแยก บ้านห้วยยางทอง ต.วังกวาง อ.น้ำหนาว จ.เพชรบูรณ์ 67260


กระทู้เมื่อเร็วๆ นี้

หน้า: 1 ... 8 9 [10]
91
ประกาศรายชื่อผู้ได้จัดสำรับคิวแทรก ครั้งที่ 30
92
มาตลีเทพสารถีขับรถไปข้างหน้า
นายนิรยบาลทั้งหลายทิ่มแทงสัตว์นรกด้วยอาวุธอันลุกโพลง
สัตว์นรกเหล่านั้นก็ตกลงในหลุมถ่านเพลิง
เมื่อสัตว์นรกเหล่านั้นจมอยู่ในหลุมถ่านเพลิงเพียงเอว
นายนิรยบาลก็เอากระเช้าเหล็กใหญ่ตักถ่านเพลิงโปรยลงบนศีรษะสัตว์นรกเหล่านั้น
สัตว์นรกเหล่านั้นไม่อาจรับถ่านเพลิงก็ร้องไห้ มีกายไฟไหม้ทั่วดิ้นรนอยู่

พระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรเห็นดังนั้น จึงตรัสคาถาว่า
สัตว์เหล่าอื่นร้องไห้ มีกายไฟไหม้ทั่ว ดิ้นรนอยู่ในหลุมถ่านเพลิง
ความกลัวปรากฏแก่เรา เพราะเห็นกิริยานี้
ดูก่อนมาตลีเทพสารถี เราขอถามท่าน สัตว์นรกเหล่านี้ได้ทำบาปอะไรไว้ จึงมาร้องไห้ ดิ้นรนอยู่ในหลุมถ่านเพลิงนี้.
มาตลีเทพสารถีอันพระเจ้าเนมิราชตรัสถามแล้ว
ได้ทูลพยากรณ์วิบากของเหล่าสัตว์ผู้ทำบาป
ตามที่ได้ทราบ แด่พระเจ้าเนมิราชผู้ไม่ทรงทราบว่า
สัตว์นรกเหล่านี้ยังหนี้ให้เกิด เพราะ
สร้างพยานโกงเหตุแห่งทรัพย์ ของประชุมชน
ยังหนี้ให้เกิดแก่ประชุมชน
มีกรรมหยาบช้าทำความชั่ว

จึงมาร้องไห้ดิ้นรนอยู่ในหลุมถ่านเพลิง พระเจ้าข้า.

บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า องฺคารกาสุํ ความว่า แน่ะสหายมาตลี
ไฉนสัตว์บางพวกนี้จึงถูกนายนิรยบาลล้อมทิ่มแทงด้วยอาวุธอันลุกโพลง เหมือนต้อนโคที่ไม่เข้าคอก
ตกลงในหลุมถ่านเพลิง และนายนิรยบาลทั้งหลายถือเอากระเช้าเหล็กใหญ่โปรยถ่านเพลิงลงบนสัตว์เหล่านั้น
ที่จมอยู่ในหลุมถ่านเพลิงแค่เอว
คราวนั้นเหล่าสัตว์ไม่อาจรับถ่านเพลิงทั้งหลายได้ จึงร้องไห้มีกายไฟไหม้ทั่วคร่ำครวญดิ้นรนอยู่
อธิบายว่า โปรยคือโรยถ่านเพลิงลงบนศีรษะของตน ด้วยกำลังแห่งกรรมบ้าง ด้วยตนเองบ้าง.

บทว่า ปูคาย ธนสฺส ความว่า เหตุแห่งทรัพย์ซึ่งเป็นของประชุมชนที่ตนเรี่ยไร
เมื่อมีโอกาสว่า พวกเราจักถวายทานบ้าง จักทำการบูชาบ้าง จักสร้างวิหารบ้าง
บทว่า ชาปยนฺติ ความว่า ใช้จ่ายทรัพย์นั้นตามชอบใจ ตัดสินพวกหัวหน้าคณะสร้างพยานโกงว่า
พวกเราทำการขวนขวายในที่โน้นไปเท่านี้ ให้ในที่โน้นไปเท่านี้ ทำทรัพย์นั้น
ให้เสื่อมคือให้พินาศไป.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๔ ภาค ๒ - หน้าที่ 264

93
"ประกาศ เนื่องด้วยขณะนี้สถานการณ์โรคโควิด-19 กำลังระบาด ทำให้หน้ากากอนามัยผ้าปิดปากและแอลกอฮอล์ขาดตลาด ผู้ใดจะเดินทางมาทำบุญที่วัดช่วงนี้ให้เตรียมมาเอง"
94


ภริยาของเราทำกาละแล้ว
บุตรของเราก็ไปสู่ป่าช้า
มารดา บิดา และพี่ชายของเราเผาที่เชิงตะกอนเดียวกัน
เพราะความเศร้าโศกนั้น เราเป็นผู้เร่าร้อน เป็นผู้ผอมเหลือง
จิตเราฟุ้งซ่าน เพราะเราประกอบด้วยความเศร้าโศกนั้น
เรามากด้วยลูกศรคือความโศก จึงเข้าไปสู่ชายป่า

พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าสุเมธ ผู้เป็นนายของโลกผู้ตรัสรู้แล้ว ครั้นประทับนั่งบนใบไม้นั้นแล้ว
ทรงแสดงธรรมเครื่องบรรเทาลูกศรคือความโศกแก่เราว่า

ชนเหล่านั้น
ใครไม่ได้เชื้อเชิญให้มา ก็มาจากปรโลกนั้นเอง
ใครไม่ได้อนุญาตให้ไป ก็ไปจากมนุษยโลกนี้แล้ว

เขามาแล้วฉันใด ก็ไปฉันนั้น จะปริเทวนาไปทำไมในการตายของเขานั้น
สัตว์มีเท้า เมื่อฝนตกลงมา เขาก็เข้าไปอาศัยในโรง เพราะฝนตก
เมื่อฝนหายแล้วเขาก็ไปตามปรารถนา

ฉันใด มารดาบิดาของท่านก็ฉันนั้น จะปริเทวนาไปทำไมในการตายของเขานั้น
แขกผู้จรไปมา เป็นผู้สั่นหวั่นไหว
ฉันใด  มารดาบิดาของท่านก็ฉันนั้น จะปริเทวนาไปทำไมในการตายของเขานั้น
งูละคราบเก่าแล้ว ย่อมไปสู่กายเดิม
ฉันใด มารดาบิดาของท่านก็ฉันนั้น จะปริเทวนาไปทำไมในการตายของเขานั้น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้าที่ 84
เราได้ฟังพระพุทธเจ้าตรัสแล้ว เว้นลูกศรคือความโศกได้ ยังความปราโมทย์ให้เกิดแล้ว
ได้ถวายบังคมพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด
ครั้นถวายบังคมแล้ว
ได้บูชาพระพุทธเจ้าผู้ล่วงพ้นภูเขาคือกิเลส เป็นพระมหานาค
ทรงสมบูรณ์ด้วยกลิ่นหอมอันเป็นทิพย์ พระนานว่าสุเมธ เป็นนายกของโลก
ครั้นบูชาพระสัมพุทธเจ้าแล้ว ประนมกรอัญชลีขึ้นเหนือเศียรอนุสรณ์ถึงคุณอันเลิศแล้ว
ได้สรรเสริญพระองค์ผู้เป็นนายกของโลกว่า
ข้าแต่พระมุนีมหาวีรเจ้า
พระองค์เป็นสัพพัญญู เป็นนายกของโลก
ทรงข้ามพ้นแล้วยังทรงรื้อขนสรรพสัตว์ด้วยพระญาณอีก
ข้าแต่พระมหามุนีผู้มีจักษุ
พระองค์ตัดความเคลือบแคลงสงสัยแล้วได้ทรงยังมรรคให้เกิดแก่ข้าพระองค์
ด้วยพระญาณของพระองค์ พระอรหันต์ผู้ถึงความสำเร็จ ได้อภิญญา ๖ มีฤทธิ์มากเที่ยว
ไปในอากาศได้ เป็นนักปราชญ์ ห้อมล้อมอยู่ทุกขณะ
พระเสขะผู้กำลังปฏิบัติ และผู้ตั้งอยู่ในผลเป็นสาวกของพระองค์
สาวกทั้งหลายของพระองค์ย่อมบาน เหมือนดอกปทุมเมื่ออาทิตย์อุทัย
มหาสมุทรประมาณไม่ได้ ไม่มีอะไรเหมือน ยากที่จะข้ามได้ฉันใด
แต่ข้าพระองค์ผู้มีจักษุ พระองค์สมบูรณ์ด้วยพระญาณก็ประมาณไม่ได้ฉันนั้น
เราถวายบังคมพระพุทธเจ้าผู้ชนะโลกมีจักษุ มียศมาก นมัสการทั่ว ๔ ทิศแล้วได้กลับไป
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้าที่ 85
เราเคลื่อนจากเทวโลกแล้วรู้สึกตัว กลับมีสติ ท่องเที่ยวอยู่ในภพน้อยใหญ่ลงสู่ครรภ์มารดา
ออกจากเรือนแล้วบวชเป็นบรรพชิต เป็นผู้มีความเพียร มีปัญญา มีการหลีกเร้นอยู่เป็นอารมณ์
ตั้งความเพียร ยังพระมหามุนีให้ทรงโปรดปราน พ้นแล้วจากกิเลส
ดังพระจันทร์พ้นแล้วจากกลีบเมฆอยู่ทุกเมื่อ
เราเป็นผู้ขวนขวายในวิเวก สงบระงับ ไม่มีอุปธิ กำหนดรู้อาสวะทั้งปวงแล้ว เป็นผู้ไม่มีอาสวะอยู่
ในกัปที่ ๓ หมื่นแต่กัปนี้ เราได้บูชาพระพุทธเจ้าใด
ด้วยการบูชานั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งพุทธบูชา
เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ...ฯลฯ... พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้.
[/size]
95
ในสมัยหนึ่งจุติจากเทวโลก บังเกิดในราชตระกูลในกรุงพาราณสี
โดยกาลที่พระชนกสวรรคต ถึงความเป็นพระราชาแล้ว.
ท้าวเธอทรงดำริว่า "จักยึดเอาพระนครหนึ่ง" จึงเสด็จไปล้อม (นครนั้นไว้).
และทรงส่งสาสน์ไปแก่ชาวเมืองว่า "จงให้ราชสมบัติหรือให้การยุทธ
" ชาวเมืองเหล่านั้นตอบว่า "จักไม่ให้ทั้งราชสมบัตินั่นแหละ, จักไม่ให้ทั้งการยุทธ"

๑. อนิจไตย เรื่องที่ไม่ควรคิด ๔ อย่าง คือ พุทธวิสัย. ฌานวิสัย. กรรมวิสัย. โลกจินตะ.

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒ - หน้าที่ 410
ดังนี้แล้ว ก็ออกไปนำฟืนและน้ำเป็นต้นมาทางประตูเล็ก ๆ, ทำกิจทุกอย่าง.
ฝ่ายพระราชานอกนี้รักษาประตูใหญ่ ๔ ประตู ล้อมพระนครไว้สิ้น ๗ ปี ยิ่งด้วย ๗ เดือน ๗ วัน.
ในกาลต่อมา
พระชนนีของพระราชานั้นตรัสถามว่า บุตรของเราทำอะไร ?
" ทรงสดับเรื่องนั้นว่า "ทรงทำกรรมชื่อนี้ พระเจ้าข้า" ตรัสว่า "บุตรของเราโง่,
พวกเธอจงไป จงทูลแก่บุตรของเรานั้นว่า "จงปิดประตูเล็ก ๆ ล้อมพระนคร."
ท้าวเธอทรงสดับคำสอนของพระชนนีแล้ว ก็ได้ทรงทำอย่างนั้น.
ฝ่ายชาวเมืองเมื่อไม่ได้เพื่อออกไปภายนอก
ในวันที่ ๗ จึงปลงพระชนม์พระราชาของตนเสีย ได้ถวายราชสมบัติแด่พระราชานั้น.
ท้าวเธอทรงทำกรรมนี้แล้ว ในกาลเป็นที่สิ้นสุดแห่งอายุบังเกิดในอเวจี,
ไหม้แล้วในนรกตราบเท่ามหาปฐพีนี้หนาขึ้นได้ประมาณโยชน์หนึ่ง,
จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว ถือปฏิสนธิในท้องของมารดานั้นนั่นแหละ อยู่ภายในท้องสิ้น ๗ ปี
ยิ่งด้วย ๗ เดือน นอนขวางอยู่ที่ปากช่องกำเนิดสิ้น ๗ วัน เพราะความที่ตนปิดประตูเล็ก ๆ ทั้งสี่.
ภิกษุทั้งหลาย สีวลีไหม้แล้วในนรกสิ้นกาลประมาณเท่านั้น
เพราะกรรมที่เธอล้อมพระนครแล้วยึดเอาในกาลนั้น ถือปฏิสนธิในท้องของมารดานั้นนั่นแหละ
อยู่ในท้องสิ้นกาลประมาณเท่านั้น เพราะความที่เธอปิดประตูเล็ก ๆ ทั้งสี่,
เป็นผู้ถึงความเป็นผู้มีลาภเลิศ มียศเลิศ เพราะความที่เธอถวายน้ำผึ้งใหม่ ด้วยประการอย่างนี้.

96
บังสุกุลจีวร เล่ม๓๕หน้า๙๐
ข้อว่าพึงรู้จักบังสุกุลจีวร ได้แก่ พึงทราบผ้าบังสุกุล ๒๓ อย่าง คือ
๑. ผ้าที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้า
๒. ผ้าที่เขาทิ้งในตลาด
๓. ผ้าที่เขาทิ้งตามทางรถ
๔. ผ้าที่เขาทิ้งในกองขยะ
๕. ผ้าเช็คครรภ์มลทินของหญิงคลอดบุตร
๖. ผ้าอาบน้ำ
๗. ผ้าที่เขาทิ้งไว้ตามท่าอาบน้ำหรือท่าข้าม
๘. ผ้าที่เขาห่อคนตายไปป่าช้าแล้ว นำกลับมา
๙. ผ้าถูกไฟไหม้แล้วเขาทิ้ง
๑๐. ผ้าที่โคเคี้ยวแล้วเขาทิ้ง
๑๑. ผ้าปลวกกัดแล้วเขาทิ้ง
๑๒. ผ้าหนูกัดแล้วเขาทิ้ง
๑๓. ผ้าริมขาดแล้วเขาทิ้ง
๑๔. ผ้าขาดชายแล้วเขาทิ้ง
๑๕. ผ้าที่เขาทำเป็นธง
๑๖. ผ้าที่เขาบูชาไว้ที่จอมปลวก
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้าที่ 91
๑๗. ผ้าของภิกษุด้วยกัน
๑๘. ผ้าที่คลื่นทะเลซัดขึ้นฝั่ง
๑๙. ผ้าที่เขาทิ้ง ๆ ไว้ในที่ราชาภิเษก
๒๐. ผ้าที่ตกอยู่ในหนทาง
๒๑. ผ้าที่ถูกลมหอบไป
๒๒. ผ้าสำเร็จด้วยฤทธิ์
๒๓. ผ้าที่เทวดาถวาย.
ก็ในเรื่องผ้านี้ พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้
บทว่า โสตฺถิยํ คือ ผ้าที่เขาห่อครรภ์มลทินไปทิ้ง.
บทว่า คตปจฺจาคตํ ความว่า ผ้าที่เขาห่อคนตายนำไปป่าช้าแล้วนำกลับมา.
บทว่า ธชาหฏํ คือผ้าที่เขาให้ยกเป็นธงขึ้นแล้ว นำกลับมาจากที่นั้น.
บทว่า ถูปํ คือ ผ้าที่เขาบูชาไว้ที่จอมปลวก
บทว่า สามุทฺทิยํ คือ ผ้าที่คลื่นทะเลซัดขึ้นฝั่ง.
บทว่า ปถิกํ คือ ผ้าพวกคนเดินทาง ทุบด้วยแผ่นหินห่มไปเพราะกลัวโจร.
บทว่า อิทฺธิมยํ คือ จีวรของเอหิภิกษุ.
บทที่เหลือ ชัดแจ้งแล้วแล.

[/size]
97
สงเคราะห์อาหารเช้าให้เด็กโรงเรียนบ้านดงคล้อ
98
ประกาศรายชื่อผู้ได้จัดสำรับคิวแทรก ครั้งที่ 29
99
ประกาศความผิดและขอขมา เรื่อง การแทนค่าจัดอาหารถวายสงฆ์และแทนค่าจัดสำรับอาหารให้อาจารย์
100
ประกาศความผิดและขอขมา เรื่อง การแทนค่าจัดอาหารถวายสงฆ์และแทนค่าจัดสำรับอาหารให้อาจารย์
หน้า: 1 ... 8 9 [10]