กระดานสนทนาธรรม

กระดานกิจกรรมเด็กวัด (สำหรับบุคคลทั่วไป) => คุยได้ฟังดีกับบรรดาสมาชิกวัด => ข้อความที่เริ่มโดย: สมบัติ สูตรไชย ที่ มีนาคม 21, 2017, 11:06:33 PM

หัวข้อ: ธรรมดาของพระโพธิสัตว์ทั้งหลายในชาติที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เล่ม 13 หน้า 9
เริ่มหัวข้อโดย: สมบัติ สูตรไชย ที่ มีนาคม 21, 2017, 11:06:33 PM

[๑๑] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาค เสด็จออกจากที่ประทับพักผ่อนในเวลาเย็น
เสด็จตรงไปยังโรงกลมใกล้หมู่ไม้กุ่มน้ำ แล้วประทับนั่งบนอาสนะที่ปูลาดไว้แล้ว
พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
บัดนี้พวกเธอนั่งประชุมสนทนาอะไรกัน เรื่องอะไรที่พวกเธอพูดค้างไว้
เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสถามดังนี้ ภิกษุเหล่านั้นได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จหลีกไปแล้วไม่นาน
พวกข้าพระองค์ได้สนทนากันขึ้นในระหว่างนี้ว่า
น่าอัศจรรย์  ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย
ไม่เคยมีแล้ว ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย
พระตถาคตจะต้องทรงมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 10
จึงจักทรงระลึกได้ถึงพระพุทธเจ้าทั้งหลายที่ล่วงไปแล้ว ซึ่งปรินิพพานแล้ว
ทรงตัดธรรมที่ทำให้เนิ่นช้าได้แล้ว
ทรงตัดความหมุนเวียนได้แล้ว
ทรงครอบงำความหมุนเวียนได้แล้ว
ทรงล่วงทุกข์ได้ทุกอย่างแล้ว แม้โดยพระชาติ
แม้โดยพระนาม
แม้โดยพระโคตร
แม้โดยประมาณแห่งพระชนมายุ
แม้โดยคู่แห่งพระสาวก
แม้โดยประชุมแห่งพระสาวกว่า แม้ด้วยเหตุนี้
พระผู้มีพระภาคเหล่านั้น จึงได้มีพระชาติเช่นนี้ ฯลฯ
มีวิมุตติเช่นนี้
ท่านผู้มีอายุทั้งหลายเป็นอย่างไรหนอแล
พระตถาคตพระองค์เดียว จึงทรงแทงตลอดธรรมธาตุนี้
เพราะเหตุที่พระตถาคตทรงแทงตลอดธรรมธาตุแล้วฉะนั้น
จึงทรงระลึกได้ถึงพระพุทธเจ้าทั้งหลายที่ล่วงไปแล้ว ซึ่งปรินิพพานแล้ว
ตัดธรรมเครื่องทำให้เนิ่นช้าได้แล้ว ทรงตัดความหมุนเวียนได้แล้ว
ทรงครอบงำความหมุนเวียนได้แล้ว ทรงล่วงทุกข์ได้ทุกอย่างแล้ว
แม้โดยพระชาติ แม้โดยพระนาม
แม้โดยพระโคตร
แม้โดยประมาณแห่งพระชนมายุ
แม้โดยคู่แห่งพระสาวก
แม้โดยประชุมแห่งพระสาวกว่า
แม้ด้วยเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคเหล่านั้น จึงได้ มีพระชาติเช่นนี้
มีพระนามเช่นนี้
มีพระโคตรเช่นนี้
มีศีลเช่นนี้
มีธรรมเช่นนี้
มีพระปัญญาเช่นนี้
มีวิหารธรรมเช่นนี้
มีวิมุตติเช่นนี้ หรือว่า
เพราะความข้อนี้พวกเทวดาได้กราบทูลแด่พระตถาคต
พระตถาคตจึงทรงระลึกได้ถึงพระพุทธเจ้าทั้งหลายที่ล่วงไปแล้ว
ซึ่งปรินิพพานแล้ว ตัดธรรมเครื่องทำให้เนิ่นช้าได้แล้วตัดความหนุนเวียนได้แล้ว
ทรงครอบงำความหมุนเวียนได้แล้ว ทรงล่วงความทุกข์ทุกอย่างได้แล้ว
แม้โดยพระชาติ แม้โดยพระนาม ฯ ล ฯ แม้โดยประชุมแห่งพระสาวกว่า
แม้ด้วยเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคเหล่านั้น จึงได้มีพระชาติเช่นนี้ มีพระนามเช่นนี้ ฯ ล ฯ
มีวิมุตติเช่นนี้
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เรื่องนี้แลที่พวกข้าพระองค์พูดค้างไว้
พอดีพระผู้มีพระภาคเสด็จมาถึง.
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 11
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เพราะเหตุที่ตถาคตนี่แหละแทงตลอดธรรมธาตุแล้ว
ฉะนั้นตถาคตจึงระลึกได้ถึงพระพุทธเจ้าที่ล่วงไปแล้ว ซึ่งปรินิพพานแล้ว ตัดธรรมเครื่องทำให้เนิ่นช้าได้แล้ว
มีวัฏฏะอันตัดแล้วครอบงำวัฏฏะแล้ว แม้โดยพระชาติ
แม้โดยพระนาม
แม้โดยพระโคตร
แม้โดยประมาณแห่งพระชนมายุ
แม้โดยคู่แห่งพระสาวก
แม้โดยการประชุมกันแห่งพระสาวกว่า
แม้ด้วยเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคเหล่านั้นจึงได้มีพระชาติเช่นนี้
มีพระนามเช่นนี้ ฯลฯ มีวิมุตติเช่นนี้
ความข้อนี้ แม้พวกเทวดาก็ได้กราบทูลแด่ตถาคต ตถาคตจึงระลึกได้
ถึงพระพุทธเจ้าทั้งหลายที่ล่วงไปแล้ว ซึ่งปรินิพพานแล้ว ตัดธรรมเครื่องทำให้เนิ่นช้าได้แล้ว มีวัฏฏะอันตัดแล้ว ครอบงำวัฏฏะแล้ว ล่วงสรรพทุกข์แล้ว
แม้โดยพระชาติ แม้โดยพระนาม ฯ ล ฯ
แม้โดยการประชุมกันแห่งพระสาวกว่า
แม้ด้วยเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคเหล่านั้นจึงได้ มีพระชาติเช่นนี้
มีพระนามเช่นนี้
มีวิมุตติเช่นนี้
ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอปรารถนาหรือไม่ที่จะฟังธรรมีกถา
ซึ่งเกี่ยวด้วยบุพเพนิวาสโดยยิ่งกว่าประมาณภิกษุเหล่านั้นได้กราบทูลว่า
ข้าแต่พระผู้มีพระภาค เป็นกาลสมควรแล้ว
ข้าแต่พระสุคต เป็นกาลสมควรแล้วที่พระผู้มีพระภาคจะพึงทรงการทำธรรมีกถาซึ่ง
เกี่ยวด้วยบุพเพนิวาส โดยยิ่งกว่าประมาณ
ภิกษุทั้งหลายได้ฟังพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้วจักได้ทรงจำไว้.
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าอย่างนั้น พวกเธอ จงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว
ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว

พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้ว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย นับแต่นี้ไป ๙๑ กัป
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าวิปัสสี
เสด็จอุบัติแล้วในโลก พระองค์เป็นกษัตริย์โดยพระชาติ
เสด็จอุบัติแล้วในขัตติยสกุล เป็นโกณฑัญญะโดยพระโคตร
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 12
มีพระชนมายุประมาณ ๘๐,๐๐๐ ปี
พระองค์ได้ตรัสรู้ที่ควงไม้แคฝอย
มีพระขัณฑะและพระติสสะ เป็นคู่พระอัครสาวก ซึ่งเป็นคู่อันเจริญ
การประชุมแห่งพระสาวกของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระนามว่าวิปัสสี ได้มีแล้วสามครั้ง
ครั้งหนึ่ง มีพระสาวกประชุมกัน เป็นจำนวนภิกษุหกล้านแปดแสนรูป
อีกครั้งหนึ่ง มีพระสาวกประชุมกันเป็นจำนวนภิกษุแสนรูป
อีกครั้งหนึ่ง มีพระสาวกประชุมกันเป็นจำนวนภิกษุแปดหมื่นรูป
ภิกษุทั้งหลาย
พระสาวกของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสี
ซึ่งได้ประชุมกันทั้งสามครั้งนี้ ล้วนเป็นพระขีณาสพทั้งสิ้น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุผู้อุปัฏฐากชื่อว่า อโสกะ
ได้เป็นอัครอุปัฏฐากของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า วิปัสสี
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
พระราชาพระนามว่า พันธุม เป็นพระชนก
พระเทวีพระนามว่า พันธุมดี เป็นพระชนนี
บังเกิดเกล้าของพระพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสี
พระนครชื่อว่าพันธุมดี ได้เป็นราชธานีของ พระเจ้าพันธุม.
ว่าด้วยพระโพธิสัตว์
[๑๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระโพธิสัตว์พระนามว่าวิปัสสี
จุติจากชั้นดุสิตแล้ว มีพระสติสัมปชัญญะ เสด็จลงสู่พระครรภ์ของพระมารดา
ข้อนี้เป็นธรรมดาในเรื่องนี้.

[๑๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมดามีอยู่ดังนี้
เมื่อใดพระโพธิสัตว์จุติจากชั้นดุสิต เสด็จลงสู่พระครรภ์ของพระมารดา
เมื่อนั้นในโลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก
ในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์
แสงสว่างอันยิ่งไม่มีประมาณปรากฏในโลก ล่วงเทวานุภาพของเทวดาทั้งหลาย
ช่องว่างซึ่งอยู่ที่สุดในโลก มิได้ถูกอะไรปกปิดไว้ ที่มืดมิดก็ดี
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 13
สถานที่ ที่พระจันทร์และพระอาทิตย์เหล่านี้ ซึ่งมีฤทธิ์มากมีอานุภาพมากปานนี้ส่องแสงไปไม่ถึงก็ดี
ในที่ทั้งสองแห่งนั้น แสงสว่างอันยิ่งไม่มีประมาณ ย่อมปรากฏล่วงเทวานุภาพของเทวดาทั้งหลาย
ถึงสัตว์ทั้งหลายที่เกิดในสถานที่เหล่านั้นก็จำกันและกันได้ ด้วยแสงนั้น
ว่า พ่อผู้เจริญ ได้ยินว่า ถึงสัตว์พวกอื่นที่เกิดในนี้ก็มีอยู่เหมือนกัน
ทั้งหมื่นโลกธาตุนี้ ย่อมหวั่นไหวสะเทือนสะท้าน ทั้งแสงสว่างอันยิ่งไม่มีประมาณ
ย่อมปรากฏในโลกล่วงเทวานุภาพของเทวดาทั้งหลาย
ข้อนี้เป็นธรรมดาในเรื่องนี้

[๑๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมดามีอยู่ดังนี้
ในเวลาที่พระโพธิสัตว์เสด็จลงสู่พระครรภ์พระมารดา
เทวบุตร ๔ องค์ ย่อมเข้าไปรักษาทิศทั้ง ๔โดยตั้งใจว่าใคร ๆ
คือ มนุษย์ หรืออมนุษย์ก็ตาม อย่าเบียดเบียนพระโพธิสัตว์
หรือพระมารดาของโพธิสัตว์นั้นได้
ข้อนี้เป็นธรรมดาในเรื่องนี้.

[๑๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมดามีอยู่ดังนี้
ในเวลาที่พระโพธิสัตว์เสด็จลงสู่พระครรภ์ของพระมารดา
พระมารดาของพระโพธิสัตว์โดยปรกติทรงศีล
งดเว้นจากการฆ่าสัตว์
งดเว้นจากการลักทรัพย์
งดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม
งดเว้นจากการกล่าวเท็จ
งดเว้นจากการดื่มน้ำเมา คือสุราและเมรัยอันเป็นฐานแห่งความประมาท
ข้อนี้เป็นธรรมดาในเรื่องนี้.

[๑๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมดามีอยู่ดังนี้
ในเวลาที่พระโพธิสัตว์ลงสู่พระครรภ์ของพระมารดา
พระมารดาของโพธิสัตว์ย่อมไม่เกิดมนัสซึ่งเกี่ยวด้วยกามคุณในบุรุษทั้งหลาย
พระมารดาของโพธิสัตว์ย่อมเป็นหญิงที่บุรุษใด ๆ ซึ่งมีจิตกำหนัดแล้วจะล่วงเกินไม่ได้
ข้อนี้เป็นธรรมดาในเรื่องนี้

[๑๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมดามีอยู่ดังนี้
ในเวลาที่พระโพธิสัตว์เสด็จลงสู่พระครรภ์ของพระมารดา
พระมารดาของพระโพธิสัตว์ย่อมได้กามคุณ๕
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 14
พระนางเพียบพร้อมพรั่งพร้อมด้วยกามคุณ ๕ ได้รับบำเรออยู่
ข้อนี้เป็นธรรมดาในเรื่องนี้.

[๑๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมดามีอยู่ดังนี้
ในเวลาที่พระโพธิสัตว์เสด็จลงสู่พระครรภ์ของพระมารดา
อาพาธใด ๆ ย่อมไม่เกิดแก่พระมารดาของของพระโพธิสัตว์เลย
พระมารดาของพระโพธิสัตว์ย่อมทรงสำราญ ไม่ลำบากกาย และ
พระมารดาของพระโพธิสัตว์ ทอดพระเนตรเห็นพระโพธิสัตว์
ซึ่งเสด็จอยู่ภายในพระครรภ์ มีอวัยวะน้อยใหญ่ครบถ้วน มีอินทรีย์ไม่บกพร่อง
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เปรียบเหมือนแก้วไพฑูรย์อันงาม เกิดเองอย่างบริสุทธิ์ แปดเหลี่ยม
นายช่างเจียรไนดีแล้ว สุกใสแวววาว สมส่วนทุกอย่าง มีด้าย เขียว เหลือง แดง
ขาวหรือนวลร้อยอยู่ในนั้น. บุรุษผู้มีจักษุจะพึงหยิบแก้วไพฑูรย์นี้นั้นวางไว้ใน
มือแล้วพิจารณาเห็นว่า แก้วไพฑูรย์นี้งาม เกิดเองอย่างบริสุทธิ์ แปดเหลี่ยม
นายช่างเจียรไนดีแล้ว สุกใสแวววาว สมส่วนแวววาว สมส่วนทุกอย่าง มีด้าย
เขียว เหลือง แดง ขาว หรือนวล ร้อยอยู่ในแก้วไพฑูรย์นั้น แม้ฉันใด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ฉันนั้นเหมือนกันแล ในเวลาที่พระโพธิสัตว์เสด็จลงสู่พระครรภ์ของพระมารดา อาพาธใด ๆ ย่อมไม่เกิดแก่พระมารดาของพระโพธิสัตว์เลย
พระมารดาของพระโพธิสัตว์ทรงสำราญ ไม่ลำบากพระกาย และ
พระมารดาของพระโพธิสัตว์ย่อมทอดพระเนตรเห็นพระโพธิสัตว์ผู้เสด็จอยู่ ณ ภายในพระครรภ์ มีอวัยวะน้อยใหญ่ครบถ้วนมีอินทรีย์ไม่บกพร่อง
ข้อนี้เป็นธรรมดาในเรื่องนี้.

[๑๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมดามีอยู่ดังนี้
ในเมื่อพระโพธิสัตว์ประสูติแล้วได้ ๗ วัน
พระมารดาของพระโพธิสัตว์ย่อมทิวงคตเสด็จเข้าถึงชั้นดุสิต
ข้อนี้เป็นธรรมดาในเรื่องนี้.

[๒๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมดามีอยู่ดังนี้ หญิงอื่น ๆ บริหารครรภ์
๙ เดือนบ้าง ๑๐ เดือนบ้าง จึงคลอด
พระมารดาของพระโพธิสัตว์หาเหมือนอย่างนั้นไม่
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 15
พระมารดาของพระโพธิสัตว์
บริหารพระโพธิสัตว์ด้วยพระครรภ์ครบ ๑๐ เดือนถ้วน จึงประสูติ
ข้อนี้เป็นธรรมดาในเรื่องนี้.

[๒๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรดามีอยู่ดังนี้
พระมารดาของพระโพธิสัตว์ย่อมไม่ประสูติเหมือนหญิงอื่น ๆ ซึ่งนั่งหรือนอนคลอด
ส่วนพระมารดาของพระโพธิสัตว์ประทับยืนประสูติพระโพธิสัตว์
ข้อนี้เป็นธรรดาในเรื่องนี้.

[๒๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมดามีอยู่ดังนี้
ในเวลาพระโพธิสัตว์เสด็จประสูติจากพระครรภ์พระมารดา
พวกเทวดารับก่อน พวกมนุษย์รับทีหลัง
ข้อนี้เป็นธรรมดาในเรื่องนี้.

[๒๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมดามีอยู่ดังนี้
ในเวลาที่พระโพธิสัตว์เสด็จประสูติจากพระครรภ์พระมารดาและยังไม่ทันถึงแผ่นดิน
เทวบุตร ๔ องค์ประคองรับพระโพธิสัตว์นั้นแล้ววางไว้เบื้องหน้าพระมารดา
กราบทูลว่า ขอจงมีพระทัยยินดีเถิดพระเทวี พระโอรสของพระองค์ที่เกิดมีศักดิ์ใหญ่
นี้เป็นธรรมดาในเรื่องนี้

[๒๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมดามีอยู่ดังนี้
ในเวลาที่พระโพธิสัตว์เสด็จประสูติจากพระครรภ์พระมารดา
เสด็จประสูติอย่างง่ายดาย ทีเดียว
ไม่เปรอะเปื้อนด้วยน้ำ
ไม่เปรอะเปื้อนด้วยเสมหะ
ไม่เปรอะเปื้อนด้วยโลหิต
ไม่เปรอะเปื้อนด้วยสิ่งไม่สะอาดอย่างใดอย่างหนึ่ง
เป็นผู้บริสุทธิ์ผุดผ่อง
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
แก้วมณีอันบุคคลวางลงไว้ในผ้ากาสิกพัสตร์
แก้วมณีย่อมไม่ทำผ้ากาสิกพัสตร์ให้เปรอะเปื้อนเลย
ถึงแม้ผ้ากาสิกพัสตร์ก็ไม่ทำแก้วมณีให้เปรอะเปื้อน
เพราะเหตุไรจึงเป็นดังนั้น เพราะสิ่งทั้งสองเป็นของบริสุทธิ์แม้ฉันใด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล
ในเวลาที่พระโพธิสัตว์เสด็จประสูติจากพระครรภ์พระมารดาก็
ประสูติอย่างง่ายดายทีเดียว
ไม่เปรอะเปื้อนด้วยน้ำ
ไม่เปรอะเปื้อนด้วยเสมหะ
ไม่เปรอะเปื้อนด้วยโลหิต
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 16
ไม่เปรอะเปื้อนด้วยสิ่งไม่สะอาด อย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นผู้บริสุทธิ์ผุดผ่อง
ข้อนี้เป็นธรรมดาในเรื่องนี้

[๒๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมดามีอยู่ดังนี้
ในเวลาที่พระโพธิสัตว์เสด็จประสูติจากพระครรภ์พระมารดา
ธารน้ำย่อมปรากฏจากอากาศสองธาร
เย็นธารหนึ่ง
ร้อนธารหนึ่ง
สำหรับสนานพระโพธิสัตว์และพระมารดา
ข้อนี้เป็นธรรมดาในเรื่องนี้.

[๒๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมดามีอยู่ดังนี้
พระโพธิสัตว์ผู้ประสูติแล้วได้ครู่หนึ่ง
ประทับยืนด้วยพระบาททั้งสองอันสม่ำเสมอ
ผินพระพักตร์ทางด้านทิศอุดร
เสด็จดำเนินไปเจ็ดก้าว และ
เมื่อฝูงเทพดากั้นเศวตฉัตรตามเสด็จอยู่ทรงเหลียวแลดูทั่วทุกทิศ เปล่งวาจาว่า
เราเป็นยอดของโลก
เราเป็นใหญ่แห่งโลก
เราเป็นผู้ประเสริฐแห่งโลก
ความเกิดของเรานี้เป็นครั้งที่สุด บัดนี้ความเกิดอีกมิได้มี ดังนี้
ข้อนี้เป็นธรรมดาในเรื่องนี้.

[๒๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมดามีอยู่ดังนี้
เมื่อใด พระโพธิสัตว์เสด็จประสูติจากพระครรภ์พระมารดา
เมื่อนั้น ในโลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลกพรหมโลก ในหมู่สัตว์
พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวาและมนุษย์ แสงสว่างอันยิ่งไม่มีประมาณ
ย่อมปรากฏล่วงเทวานุภาพของเทวดาทั้งหลาย ช่องว่างซึ่งอยู่ที่สุดโลกมิได้ถูกอะไรปกปิด ที่มืดมิดก็ดี สถานที่ที่พระจันทร์และพระอาทิตย์เหล่านี้ซึ่งมีฤทธิ์มาก
มีอานุภาพมากปานนี้ส่องแสงไป ไม่ถึงก็ดี ในที่ทั้งสองแห่งนั้นแสงสว่างอันยิ่งไม่มีประมาณ ย่อมปรากฏล่วงเทวานุภาพของเทวดาทั้งหลาย ถึงสัตว์ทั้งหลายที่เกิดในสถานที่เหล่านั้นก็จำกันและกันได้ ด้วยแสงสว่างนั้นว่าพ่อผู้เจริญ ได้ยินว่าถึงสัตว์พวกอื่นที่เกิดในนี้ก็มีอยู่เหมือนกัน และหมื่นโลกธาตุนี้ย่อมหวั่นไหวสะเทือนสะท้าน ทั้งแสงสว่างอันยิ่งไม่มีประมาณ ย่อมปรากฏในโลกล่วงเทวานุภาพของเทวดาทั้งหลาย
ข้อนี้เป็นธรรมดาในเรื่องนี้
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 17
[/size]