กระดานสนทนาธรรม

กระดานกิจกรรมเด็กวัด (สำหรับบุคคลทั่วไป) => คุยได้ฟังดีกับบรรดาสมาชิกวัด => ข้อความที่เริ่มโดย: สมบัติ สูตรไชย ที่ มกราคม 14, 2018, 02:37:57 PM

หัวข้อ: ในคราวที่เป็นพระพุทธเจ้าแล้วก็ยังต้องเสวยกรรมเก่าที่เคยทำไว้ 71-873
เริ่มหัวข้อโดย: สมบัติ สูตรไชย ที่ มกราคม 14, 2018, 02:37:57 PM

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๘ ภาค ๒ - หน้าที่ 873
๑พุทธาปทานชื่อปุพพกัมมปิโลติที่ ๑๐ (๓๙๐)
ว่าด้วยบุพจริยาของพระพุทธองค์
[๓๙๒] พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เป็นนายกของโลก
แวดล้อมด้วยภิกษุสงฆ์เป็นอันมาก ประทับนั่งอยู่ที่พื้นหินอันเป็นรัมณียสถาน
โชติช่วงด้วยแก้วต่าง ๆ ในละแวกป่า อันมีกลิ่นหอมต่าง ๆ ใกล้สระอโนดาต
ตรัสชี้แจงบุรพกรรมทั้งหลายของพระองค์ ณ ที่นั้นว่า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟังกรรมที่เราทำแล้วของเรา

เราเห็นภิกษุผู้ถือการอยู่ป่าเป็นวัตรรูปหนึ่งแล้วได้ถวายผ้าเก่า.
เราปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าเป็นครั้งแรก เพื่อความเป็นพระพุทธเจ้า

ในกาลนั้น ผลแห่งกรรม คือการถวายผ้าเก่าย่อมอำนวยผลให้เป็นพระพุทธเจ้า.

ในกาลก่อน เราเป็นนายโคบาล
ต้อนโคไปเลี้ยง เห็นแม่โคกำลังดื่มน้ำขุ่นมัว จึงห้ามมัน
ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น
ในภพหลังสุดนี้ (แม้) เราจะกระหายน้ำ ก็ไม่ได้ดื่มน้ำตามความปรารถนา.

ในชาติอื่นในกาลก่อน เราเป็นนักเลงชื่อว่า ปุนาลิ
ได้กล่าวตู่พระปัจเจกพุทธเจ้าชื่อว่า สุรภี ผู้ไม่ประทุษร้ายตอบ.
ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น
เราท่องเที่ยวอยู่ในนรกเป็นเวลานาน ได้เสวยทุกขเวทนาแสนสาหัสหลายพันปีเป็นอันมาก.
๑. อรรถกถาว่า ปุพพกัมมปิโลติกพุทธาปทาน.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๘ ภาค ๒ - หน้าที่ 874
ด้วยผลกรรมอันเหลือนั้น ในภพหลังสุดนี้ เราจึงได้คำกล่าวตู่เพราะเหตุแห่งนางสุนทริกา.
เพราะการกล่าวตู่พระเถระนามว่า นันทะ สาวกของพระพุทธเจ้า ผู้ครอบงำอันตรายทั้งปวง
เราจึงท่องเที่ยวอยู่ในนรกสิ้นกาลนาน.
เราท่องเที่ยว อยู่ในนรกเป็นเวลานานถึงหมื่นปี ได้ความเป็นมนุษย์แล้ว ได้การกล่าวตู่เป็นอันมาก.
ด้วยผลกรรมที่เหลือนั้น นางจิญจมาณวิกามากันหมู่ชนได้กล่าวตู่เราด้วยคำอันไม่เป็นจริง.

เมื่อก่อน เราเป็นพราหมณ์ชื่อว่า สุตวา อันชนทั้งหลายสักการะบูชา
สอนมนต์ให้กันมาณพประมาณ ๕๐๐ คนในป่าใหญ่.
ก็เราได้เห็นฤๅษีผู้น่ากลัว ได้อภิญญา ๕ มีฤทธิ์มากมาในสำนักของเรา เราจึงกล่าวตู่ฤๅษีผู้ไม่ประทุษร้าย
โดยได้บอกกะพวกศิษย์ของเราว่า ฤๅษีพวกนี้มักบริโภคกาม แม้เมื่อเราบอก (เท่านั้น) พวกมาณพก็เชื่อฟัง
ครั้งนั้นมาณพทั้งปวง เที่ยวไปเพื่อภิกษาในสกุล ๆ พากันบอกแก่มหาชนว่า ฤาษีผู้นี้มักบริโภคกาม.
ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น
ภิกษุ ๕๐๐ เหล่านี้ ได้คำกล่าวตู่ทั้งหมด เพราะเหตุแห่งนางสุนทริกา.

ในกาลก่อนเราได้ฆ่าพี่น้องชายต่างมารดา เพราะเหตุแห่งทรัพย์
จับใส่ลงในซอกเขาและบด (ทับ) ด้วยหิน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๘ ภาค ๒ - หน้าที่ 875
ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น
พระเทวทัตจึงทุ่มก้อนหิน ก้อนหินกลิ้งลงมากระทบนิ้วแม่เท้าของเราจนห้อเลือด.

ในกาลก่อน เราเป็นเด็กเล่นอยู่ที่หนทางใหญ่
เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้ว ใส่ไฟเผา (ดัก) ไว้ทั่วหนทาง
ด้วยวิบากกรรมนั้น ในภพหลังสุดนี้
พระเทวทัตจึงชักชวนนายขมังธนูผู้ฆ่าคนตายมาก เพื่อให้ฆ่าเรา.

ในกาลก่อน เราเป็นนายควาญช้าง
ได้ไสช้างให้จับมัดพระปัจเจกพุทธเจ้าผู้อุดมมุนี แม้กำลังเที่ยวบิณฑบาต
ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น
ช้างนาฬาคิรีอันดุร้าย วิ่งไล่ (เรา) เข้าไปในพระนครราชคฤห์.

ในกาลก่อนเราเป็นนายทหารราบ (เป็นแม่ทัพ) ฆ่าบุรุษเป็นอันมากด้วยหอก
ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น เราถูกไฟไหม้อย่างเผ็ดร้อนอยู่ในนรก.
ด้วยผลอันเหลือแห่งกรรมนั้น
บัดนี้ ไฟนั้นยังมาไหม้ผิวหนังที่เท้าของเราทั้งสิ้น (อีก) เพราะว่ากรรมยังไม่พินาศไป.

ในกาลก่อน เราเป็นเด็ก ลูกของชาวประมง อยู่ในบ้านเกวัฏฏคาม
เห็นคนทั้งหลายฆ่าปลาแล้ว เกิดความโสมนัส.
ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น
ความทุกข์ที่ศีรษะ (ปวดศีรษะ)ได้มีแล้วแก่เรา
ในเมื่อเจ้าศากยะทั้งหลายถูกเบียดเบียนพระเจ้าวิฏฏุภะฆ่าแล้ว.

เราได้บริภาษพระสาวกทั้งหลาย ในศาสนาของพระพุทธเจ้า พระนามว่า ผุสสะ
ว่าท่านทั้งหลายจงเคี้ยว จงกินแต่ข้าวแดงแต่อย่ากินข้าวสาลีเลย
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๘ ภาค ๒ - หน้าที่ 876
ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น
เราอันพราหมณ์นิมนต์แล้ว อยู่ในเมืองเวรัญชา บริโภคข้าวแดงตลอด ๓ เดือน ในกาลนั้น.

เมื่อนักมวยกำลังชกกัน เราได้เบียดเบียนบุตรนักมวยปล้ำ
ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น ความทุกข์ที่หลัง (ปวดหลัง)ได้มีแล้วแก่เรา.

เมื่อก่อนเราเป็นหมอรักษาโรค ได้ถ่ายยาให้เศรษฐีบุตร(ตาย)
ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น โรคปักขันทิกาพาธจึงมีแก่เรา.

เราชื่อว่า โชติปาละ
ได้กล่าวกะพระสุคตเจ้าพระนามว่ากัสสปะ
ในกาลนั้นว่า จักมีโพธิมณฑลแต่ที่ไหน โพธิญาณท่านได้ยากอย่างยิ่ง.
ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น
เราได้ประพฤติกรรมที่ทำได้ยากมาก (ทุกกรกิริยา)
ที่ตำบลอุรุเวลาเสนานิคมตลอด ๖ ปี แต่นั้น จึงได้บรรลุโพธิญาณ.
แต่เราก็มิได้บรรลุโพธิญาณอันสูงสุดด้วยหนทางนี้
เราอันบุรพกรรมตักเตือนแล้ว จึงแสวงหาโพธิญาณโดยทางที่ผิด.
(บัดนี้) เราเป็นผู้สิ้นบาปและบุญ เว้นจากความเร่าร้อนทั้งปวง
ไม่มีความเศร้าโศก ไม่คับแค้น เป็นผู้ไม่มีอาสวะจักนิพพาน.

พระชินเจ้าทรงบรรลุกำลังแห่งอภิญญาทั้งปวงแล้ว
ทรงพยากรณ์โดยทรงหวังประโยชน์แก่ภิกษุสงฆ์ ที่สระใหญ่ชื่อว่า อโนดาต ด้วยประการฉะนี้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๘ ภาค ๒ - หน้าที่ 877
ทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงภาษิตธรรมบรรยายพุทธาปทานชื่อ ปุพพกัมมปิโลติ
อันเป็นความประพฤติในกาลก่อนของพระองค์ด้วยประการฉะนี้แล.
จบพุทธาปทานชื่อปุพพกัมมปิโลติ

๓๙๐. อรรถกถาปุพพกัมมปิโลติกพุทธาปทาน
พึงทราบเรื่องราวในอปทานที่ ๑๐ ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า อโนตตฺตสราสนฺน ความว่า ชื่อว่า อโนตตฺโต
เพราะน้ำที่ถูกความร้อนแห่งพระจันทร์และพระอาทิตย์แผ่ปกคลุมไปไม่ถึง
เพราะมียอดภูเขาหลายยอดช่วยปิดบังไว้.

ชื่อว่าสระ เพราะเป็นแดนไหลไปคือเป็นแดนเกิดก่อน หลงใหลไปแห่งแม่น้ำใหญ่,
อธิบายว่า แม่น้ำใหญ่ที่ไหลออกจากช่องมีช่องสีหะเป็นต้นแล้ว ไหลวนไปทางขวา ๓ รอบ
จึงไหลไปทางทิสาภาคที่ไหลออกแล้ว ๆ แต่เดิม.

อโนตัตตะศัพท์ กับสระศัพท์ รวมกันเป็น
อโนตัตตสระ อธิบายว่า ที่อยู่ใกล้กับสระนั้น คือใกล้กับสระอโนดาต ได้แก่ ตรงที่ใกล้สระอโนดาตนั้น.

บทว่า รมณีเย ความว่า ในสถานที่อันน่ารื่นรมย์ใจนั้น
ชื่อว่า รมณียํ เพราะเป็นสถานที่อันเทวดา ทานพ คนธรรพ์ กินนร งู
พระพุทธเจ้า และพระปัจเจกพุทธเจ้าเป็นต้น พึงรื่นรมย์ใจ คือ พึงติดใจ.

บทว่า สิลาตเล ความว่า พื้นแห่งศิลาเป็นภูเขาลูกเดียว.
บทว่า นานารตนปชฺโชเต ความว่า โชติช่วงเปล่งปลั่งด้วยแก้วมากมายหลายประการ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๘ ภาค ๒ - หน้าที่ 878
มีแก้วทับทิม และไพฑูรย์ เป็นต้น.
บทว่า นานาคนฺธวนนฺตเร เชื่อมความว่า ที่พื้นศิลา (หิน)
ในละแวกป่าอันเป็นชัฏดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมนานาชนิด เช่นไม้จันทน์ กฤษณา การบูร คูน หมากหอม อโศก
กากะทิง บุนนาค และ การะเกด เป็นต้น มีประการต่าง ๆ.

ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้นำของชาวโลก
เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของชาวโลกทั้ง ๓ ทรงมีภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่แวดล้อม
เพราะยิ่งใหญ่ด้วยพระคุณ และเพราะยิ่งใหญ่ด้วยการนับ
ประทับนั่งเหนืออาสนะศิลานั้นแล้ว ตรัสชี้แจงถึงกรรม คือการถวายดอกไม้ของพระองค์
คือได้ทรงกระทำให้ปรากฏชัดเป็นพิเศษ.

คำที่เหลือในข้อความนั้น มีเนื้อความพอจะรู้ได้ง่ายทั้งหมด
เพราะได้กล่าวไว้แล้วในพุทธาปทานในหนหลัง และเพราะมีเนื้อความง่าย.
พระธรรมสังคาหกเถระทั้งหลาย ได้รวบรวมกุศลกรรมและอกุศลกรรมไว้ในอปทานนี้
ทั้งที่มีปรากฏอยู่ในพุทธาปทานแล้ว ก็ด้วยมุ่งที่จะรวมไว้ในวรรค เพราะจะได้ชี้แจงแสดงเฉพาะกรรมแล.
จบอรรถกถาปุพพกัมมปิโลติกพุทธปทาน



หัวข้อ: Re: ในคราวที่เป็นพระพุทธเจ้าแล้วก็ยังต้องเสวยกรรมเก่าที่เคยทำไว้ 71-873
เริ่มหัวข้อโดย: nubwo23 ที่ สิงหาคม 20, 2018, 09:31:54 AM
ขอบคุณสำหรับข้อมูลที่ดีและมีประโยชน์มากๆเลยคะ
เที่ยวภาคอีสาน (https://www.skinnerjones.com/เที่ยวภาคอีสาน/)